‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก ชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อที่ออกนอกกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในเดือน ต.ค. 2565 โดยมีใจความสำคัญว่า
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Infaltion) อยู่ในช่วงระหว่าง 1-3% สำหรับระยะกลางและปี 2565
แต่เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยตัวเงินเฟ้อทั่วไปของเดือน ก.ย. 2565 ออกมาอยู่ที่ 6.41% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค. 2564 – ก.ย. 2565) อยู่ที่ 5.23% สูงกว่ากรอบเป้าหมาย
ประกอบกับ กนง.ได้ประเมินในการประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2565 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในอีก 12 เดือนข้างหน้า (ไตรมาส 4 ปี 2565 ถึงไตรมาส 3 ปี 2566) จะอยู่ที่ 3.9% ซึ่งสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ดังนั้น กนง.จึงของชี้แจงถึง
1. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยสูงกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน
โดยอธิบายว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เงินเฟ้อที่สูงเป็นผลจากแรงกดดันด้านอุปทาน (Cost-push Inflation) โดยเฉพาะราคาพลังงานเป็นหลัก ส่วนแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ (Demand-pull Inflation) ยังค่อนข้างจำกัด
ส่วนในอีก 12 เดือนข้างหน้า ยังมีแรงกดดันด้านอุปทานที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้จะทยอยลดลง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่เพิ่มขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนที่มากขึ้น และอุปสงค์ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ
2. ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
กนง.คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทำจุดพีคในไตรมาส 3 ปี 2565 และจะทยอยลดลงตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบเป้าหมายตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566
3. การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม
กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษมีความจำเป็นลดลง
ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง กนง.จึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว (Policy Normalization) โดยระบุว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป











