มองจีนเห็นไทย’สมองไหลโลกใหม่’ มีเอไอ หุ่นยนต์ โรงงานอัจฉริยะ แต่ขาดคนทำงานมีฝีมือ

มองจีนเห็นไทย’สมองไหลโลกใหม่’ มีเอไอ หุ่นยนต์ โรงงานอัจฉริยะ แต่ขาดคนทำงานมีฝีมือ

เศรษฐกิจ

การแข่งขันระหว่างสหรัฐกับจีนมีในทุกมิติ ล่าสุด การแย่งกันดึงตัวคนเก่งระดับโลกมาทำงานในประเทศตัวเองดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรัฐบาลจีนเปิดตัว “วีซ่า K” (K Visa) และเริ่มใช้อย่างเป็นทางการ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา

วีซ่า K เป็นวีซ่าพำนักถาวรที่มีเงื่อนไขต่ำ ยืดหยุ่น ออกแบบมาเพื่อดึงดูดบุคลากรระดับแนวหน้าของโลกในสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง โดยที่ถ้ามองไปที่ฝั่งสหรัฐฯเองรัฐบาลทรัมป์กำลังเข้มงวดกับกฎเกณฑ์วีซ่าทำงาน H1-B และลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ลง มองแบบนี้ทำให้จีนยิ่งต้องฉวยโอกาสนี้เพื่อดึงดูด ‘มันสมองระดับโลก’ มาทำงานที่จีนแทน

แต่ทว่าภายในประเทศจีนเรื่องนี้ทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์และไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ วัดจากบนโซเชียลมีเดีย หนุ่มสาวชาวจีนจำนวนมากออกมาแสดงความเห็นตั้งคำถามว่า ทำไมรัฐบาลถึงเปิดประเทศต้อนรับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ ในขณะที่บัณฑิตจีนหลายล้านคนยังตกงานและหางานไม่ได้

มีประเด็นน่าสนใจและน่ามองไปในจีนตอนนี้อย่างมากกว่าแม้อัตราว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวจีนจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่จีนก็กำลังเผชิญ “การขาดแคลนแรงงานฝีมือ”

และนี่คือหนึ่งในปัญหาลึกๆ ภายในโครงสร้างเศรษฐกิจจีนในช่วงเปลี่ยนผ่านขณะนี้

จีนที่มีภาคการผลิตที่เป็นเสาหลักให้ประเทศมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา กำลังเร่งตัวเองไปสู่ระบบ ‘การผลิตอัตโนมัติ’ ท่ามกลางต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น ประชากรที่ลดลง และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

ปีที่แล้วจีนติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมากถึง 300,000 ตัว ถามว่ามากขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าเป็นจำนวนที่มากที่สุดในโลก มากกว่าประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ๆ อย่างญี่ปุ่น เยอรมนี และสหรัฐฯ

ขณะเดียวกันจีนยังผลักดันนโยบาย “AI Plus” เพื่อนำเอไอมาใช้เข้ากับระบบการผลิตให้มากที่สุดในทุกอย่าง เช่น เอไอซ่อมบำรุงแบบคาดการณ์ล่วงหน้า (predictive maintenance) เอไอตรวจสอบคุณภาพสินค้า เอไอออกแบบกระบวนการผลิต และเอไอระบบโลจิสติกส์

เป้าหมายคือการเปลี่ยนให้ทุกอย่างเป็น “โรงงานอัจฉริยะ” ให้กลายเป็นก้าวกระโดดถัดไปของภาคการผลิตของจีน

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไปไม่หยุดยั้ง แต่หันมามองอีกด้าน จีนกลับประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเพียงพอเพื่อรองรับการใช้งานหุ่นยนต์ เครื่องจักร และกระบวนการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ

ในจีนเองตอนนี้แรงงานที่จัดว่า “มีทักษะสูง” เช่น คนที่สามารถใช้งานและซ่อมบำรุงเครื่องจักรขั้นสูงได้มีเพียง 8% ของแรงงานทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว

โดยเฉพาะในภาคการผลิตขั้นสูง (Advanced Manufacturing) รัฐบาลจีนประเมินว่าในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ 10 กลุ่มของจีน ตั้งแต่เทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ เครื่องจักรชั้นสูง วัสดุใหม่ ไปจนถึงชีวเภสัชกรรมจะต้องการแรงงานฝีมือมากถึง 62 ล้านคนภายในสิ้นปี 2025

แต่ปริมาณที่คาดว่าจะได้จริงมีไม่ถึงแน่นอน

วีซ่าประเภท K จึงถูกออกแบบมาเพื่ออุดช่องว่างด้านแรงงาน โดยการนำผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้ามา แต่เสียงวิจารณ์ของสังคมชี้ให้เห็นปัญหาอีกด้านหนึ่งในจีนตอนนี้่ว่า

ไม่ใช่แค่ “ขาดทักษะ” แต่ประเทศยังขาดความเชื่อมั่นในระบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

สะท้อนว่าระบบการศึกษา แรงงาน และแรงจูงใจของจีน กำลังน่าห่วง และเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายอุตสาหกรรมของประเทศ

ตอนนี้จีนผลิตบัณฑิตระดับอุดมศึกษามากกว่า 10 ล้านคนต่อปี และเป็นประเทศที่ผลิตบัณฑิตสาย STEM มากที่สุดในโลก Science (วิทยาศาสตร์), Technology (เทคโนโลยี), Engineering (วิศวกรรมศาสตร์), และ Mathematics (คณิตศาสตร์)

แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าหลักสูตรมหาวิทยาลัยของจีนยังหนักไปทางทฤษฎี ขาดการฝึกฝนภาคปฏิบัติในซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม ระบบข้อมูล และเครื่องมืออัตโนมัติ ส่งผลให้บัณฑิตจำนวนมากต้องเข้ารับการอบรมซ้ำหลายเดือน ก่อนจะสามารถทำงานในระบบสายพานการผลิตอัจฉริยะได้

เกิดช่องว่างชัดเจนระหว่างสิ่งที่ “ห้องเรียนสอน” กับสิ่งที่ “โรงงานต้องการ”

และเมื่อดูปัญหายิ่งแย่ลงเมื่อบริษัทต่างๆ แทบไม่อยากลงทุนในการฝึกอบรมพนักงาน

ข้อมูลจากอุตสาหกรรมในจีนแสดงว่า บริษัทจีนใช้เงินในการอบรมต่อพนักงานน้อยกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับบริษัทในสหรัฐฯ

แม้รัฐบาลจีนจะมีคำสั่งตั้งแต่ปี 2002 ว่าบริษัทต้องกันงบประมาณ 2.5% ของค่าจ้างเพื่อฝึกอบรม แต่มีเพียงรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เท่านั้นที่ทำใกล้เคียงเป้า ส่วนใหญ่ใช้ไม่ถึง 0.5% ด้วยซ้ำ

นักวิจัยจาก Chinese Academy of Social Sciences วิเคราะห์ว่า ปัญหานี้มีสาเหตุจาก “อัตราการลาออก” ที่สูงในภาคการผลิต นั่นทำให้บริษัทกลัวว่าหากลงทุนฝึกอบรม พนักงานก็จะย้ายไปที่อื่นเพื่อเงินเดือนที่ดีกว่า ทำให้บริษัทมองว่าการฝึกอบรมคือ “ต้นทุนจม” ไม่ใช่การลงทุนระยะยาว

สุดท้ายบริษัทจึงเลือก ‘จ้างใหม่’ แทนการอบรม และทำกันจนเป็นวัฒนธรรมในหลายบริษัท กลายเป็นปัญหาสะสมฝังรากในภาคแรงงานของจีน

ขณะที่วัฒนธรรมอีกด้านของคนหนุ่มสาวจีนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่จบมหาวิทยาลัย มองว่างานโรงงานเป็นงานที่เหนื่อย ไม่มีสถานะทางสังคม ไม่สมกับของความรู้ที่ตนเองเรียนมา คนรุ่นใหม่จำนวนมากจึงไม่อยากแลกงานออฟฟิศกับงานโรงงาน

มีข้อสังเกตว่าปัญหานี้ส่วนหนึ่งเพราะภาพรวมงานฝั่งโรงงาน งานผลิตในจีน ยังให้ค่าแรงที่ต่ำไม่สะท้อนทักษะ และต้องมองการอบรมพนักงานว่าเป็นการลงทุน ไม่ใช่ต้นทุน และต้องมีแรงจูงใจดึงแรงงานมากกว่านี้ เช่น ภาษี หรือหากพนักงานมีใบรับรองทักษะก็ควรมีการปรับเงินเดือนที่ชัดเจนเพื่อให้คนทำงานมั่นใจ ไปจนถึงต้องมีงบประมาณให้กับสถาบันอาชีวะในการอบรมผลิตนักเรียนนักศึกษาให้ตอบโจทย์มากขึ้น

ไม่เช่นนั้นต่อให้จีนเปลี่ยนตัวเองไปสู่เทคโนโลยีมากขึ้นแค่ไหน แต่คุณภาพของแรงงานในอนาคตก็จะเป็นปัญหาตามมาอยู่ดี

อ่านมาถึงตรงนี้เรามองเห็นปัญหาในจีนเป็นจุดที่น่าศึกษาว่าแม้จะก้าวหน้าในแง่กระบวนการผลิต แต่ก็มีปัญหาแรงงานซุกซ่อนอยู่ และเริ่มขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในภาคการผลิต ที่มีปริมาณไม่ทันกับตลาดอุตสาหกรรมใหญ่ของตัวเอง

เมื่อย้อนมองกลับมาที่ประเทศไทยแล้วก็ยิ่งเห็นภาพของเราเองชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

[ มองจีนเห็นไทย ]

เราเห็นวิกฤตแรงงานทักษะสูงเกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศยักษ์ใหญ่ประชากรมากมาย

หลายประเทศมีการออกวีซ่าดึงมันสมองโลก เพราะมีปัญหาโครงสร้างที่คล้ายกันไม่ว่าจะเป็นมีประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น มีช่องว่างระหว่างการศึกษากับทักษะที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ การลงทุนด้านการฝึกอบรมที่ยังน้อย

ในวันที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมอัจฉริยะ AI และระบบอัตโนมัติมากขึ้น แรงงานฝีมือจะเป็นแกนกลางของการแข่งขันในอนาคต แต่ทุกประเทศก็กำลังมีปัญหาเดียวกันนั่นเอง

Chalathip ThirasoonthrakulWriterChalathip Thirasoonthrakul
Business and Economics Editor
[email protected]

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง