จุดพีคทางเศรษฐกิจของจีนผ่านพ้นไปแล้ว โอกาสจะได้เห็นจีดีพีจีนเติบโตเป็นเลข 2 หลัก จะไม่กลับมาเป็นเช่นนั้น ทำให้ถึงเวลาต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งเพื่อเดินหน้าต่อ และนั่นจะทำให้หน้าตาของเศรษฐกิจจีนเปลี่ยนไป โมเดลเศรษฐกิจจีนแบบเดิมไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เหมือนเก่า
และนี่คือคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
1.ภาคอสังหาริมทรัพย์ มีความสำคัญลดลง
เดิมภาคอสังหาฯ มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจจีนมาก ตอนเฟื่องฟู คือ เติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี กินระยะเวลามาเกือบ 20 ปี (2000-2019) นับรวมธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็คิดเป็น 25% ของจีดีพีประเทศ คิดดูว่ามหาศาลขนาดไหน ดังนั้นพอเกิดวิกฤตอสังหาฯจีนย่อมกระทบต่อประเทศและความมั่งคั่งของคนจีนด้วย เพราะคนจีนเอาเงินไปลงทุนเก็งกำไรในอสังหาฯกันเยอะมาก
วิกฤตอสังหาฯจีนหนักหน่วง แต่จะเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีมาตรการกระตุ้นใหญ่เพื่อช่วยเหลือมากนัก เพราะไม่อยากให้เกิดการเก็งกำไรรอบใหม่จากการที่รัฐเข้าไปช่วยบริษัทอสังหาฯ
สรุปได้ว่า ภาคอสังหาฯจีน มีแนวโน้มที่จะไม่ร้อนแรงเหมือนเก่า และอยู่ในช่วงชะลอตัวเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจจีนที่มีภาคอสังหาฯ เป็นเครื่องยนต์หลักอาจค่อยๆกลายเป็นภาพในอดีตไปแล้ว
2.การผลิตขั้นสูงจะขึ้นมาแทนที่เป็นเศรษฐกิจใหม่ของจีน
รัฐบาลจีนหันมาสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง หรือ “Three new” เพื่อทดแทนการลงทุนในภาคอสังหาฯ
Three new คือ
New industries อุตสาหกรรมใหม่ที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีใหม่
New business formats รูปแบบการทำธุรกิจใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อผลิตสินค้าหรือให้บริการ และเน้นทำให้ตรงลักษณะลูกค้ามากขึ้น (Personalized)
New business models รูปแบบโมเดลธุรกิจที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดำเนินธุรกิจเพิ่มมูลค่าและกำไร
อุตสาหกรรมสำคัญที่รัฐบาลจีนและหลายสำนักข่าวยกให้เป็นพลัง Three new ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ แบตเตอรี่ลิเธียม และพลังงานสะอาด
แน่นอนว่าเราเห็นสิ่งนี้กันแล้วว่า จีนส่งออกรถ EV และผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน กินสัดส่วนสำคัญในโลก
แต่ Three new ยังไม่สามารถทดแทนเครื่องจักรตัวเก่าภาคอสังหาฯ ได้ทั้งหมด เพราะมูลค่าการลงทุนใน Three new ยังต่ำกว่าการลงทุนในภาคอสังหาฯ ไปจนถึงการจ้างงานก็น้อยกว่า
มองแง่ดีไว้ก่อน ถึงจะแทนกันไม่ได้ แต่นับว่าเป็น Sunrise Industry ที่สามารถจะเติบโตได้อีกมาก
3.รัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจมากขึ้น
เราเห็นรัฐบาลจีนเข้ามาเกี่ยวข้องหลายนโยบาย ทั้ง Dual circulation ส่งเสริมให้บริโภคในประเทศมากขึ้น พัฒนาห่วงโซ่การผลิตในประเทศลดการพึ่งพาตะวันตก อีกนโยบาย คือ Made in China 2025 คือเพิ่มการผลิตภายในประเทศในกลุ่มสินค้าสำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีอื่น ล่าสุดคือ Common prosperity กระจายความมั่งคั่งและลดความเหลื่อมล้ำ ผ่านการ ‘ควบคุมอัตราการเติบโตธุรกิจและบุคคลรายได้สูง’ ให้มีความเหมาะสม
ทำให้ได้เห็นรัฐบาลลงมาเล่นเองหลายเรื่อง จัดการกับอุตสาหกรรมหรือบริษัทที่ขัดต่อนโยบาย Common prosperity (เช่น บริษัทเทคโนโลยี โรงเรียนกวดวิชา และบริษัทให้คำปรึกษาต่างชาติในจีน ฯลฯ) แล้วหันมาผลักดันให้มีการจัดตั้งบริษัทของรัฐในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้กลายเป็น National champion ที่มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน รวมทั้งออกกฎหมายเพิ่มความความมั่นคงในประเทศ
นโยบายเศรษฐกิจจีนจะยิ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมในประเทศให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศมากขึ้น แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจาก ‘กำไรที่ลดลงหรือต้นทุนที่สูงขึ้น’ ก็ตาม
วิธีของรัฐบาลจีนด้านหนึ่งทำให้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของธุรกิจที่ลดลงทั้งจากเอกชนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ จนบางครั้งรัฐบาลต้องยอมผ่อนนโยบายเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไปก่อน แต่ในภาพใหญ่รัฐบาลจะยังคงมีบทบาทมากในเศรษฐกิจจีนและมีแนวโน้มเพิ่มบทบาทขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงปรับตัวนี้คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวในระยะปานกลางถึงยาว แต่หากการยอมเจ็บในระยะสั้นจะได้มาซึ่งความมั่นคง ความยั่งยืน และความเท่าเทียมเพิ่มขึ้นแบบที่จีนประกาศในนโยบาย Common prosperity กระจายความมั่งคั่งและลดความเหลื่อมล้ำ
ถ้าทำได้จริงก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
สรุปจากบทวิเคราะห์ SCB EIC










