สมาคมคราฟท์เบียร์แห่งประเทศออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อมาตรการที่รัฐอาจจะออกหลังเกิดการแพร่ระบาดโดยมีศูนย์กลางจากสถานบริการย่านทองหล่อ วอนออกมาตรการโดยคำนึงถึงความเปราะบางของร้านคราฟท์เบียร์ พร้อมแนบข้อเท็จจริงระบุ “ไม่เคยมีการระบาดใดๆที่เกิดขึ้นในร้านคราฟท์เบียร์แม้แต่ครั้งเดียว” และหากมีการจำกัดเวลาขายหรือสั่งปิดไม่ให้ขายเสี่ยงกระทบอุตสาหกรรมคราฟเบียร์หนัก จากที่เพิ่งฟื้นตัวมาได้เพียง 44 วันเท่านั้น
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ผ่านมาที่พบศูนย์กลางการระบาดที่ย่านทองหล่อนั้นอาจทำให้รัฐออกกมาตรการควบคุมเวลาการขายอาหารและเครื่องดื่มถึงเพียง 21.00 น. รวมถึงห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อย่างไรก็ดี สมาคมคราฟท์เบียร์ยืนยันผ่านตลอดการณ์ว่า “กลุ่มผู้ประกอบการคราท์เบียร์ ได้ทาตามกฎระเบียบและมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขมาโดยตลอด และไม่เคยมีการระบาดใดๆที่เกิดขึ้นในร้านคราฟท์เบียร์แม้แต่ครั้งเดียว” และ “ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ธุรกิจคราฟท์เบียร์ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า สามารถปฏิบัติตามมาตรการได้ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาระยะห่างในร้าน / การวัดอุณหภูมิผู้เข้าใช้บริการ / การขอความร่วมมือให้ลูกค้าใช้แอพไทยชนะ จนทาให้ธุรกิจคราฟท์เบียร์ไม่เคยเกิดการระบาดใดๆเลยแม้แต่น้อย”
ผู้ประกอบการณ์คราฟเบียร์ปิดร้านชั่วคราวมา 2 รอบด้วยกันตั้งแต่โควิด-19 ระบาดเมื่อต้นปี 2563 และมีการระบาดอีกระลอกเดือนมกราคม 2564 ที่ประกอบการณ์คราฟเบียร์เปิดอีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2564 หากต้องปิดอีกรอบ จะเท่ากับว่าต้องปิดหลังเปิดทำการมาเพียงมากกว่า 40 วัน ซึ่งแถลงการณ์ระบุว่า “จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ พนักงาน บริษัทขนส่ง บริษัทจัดจำหน่ายและ บริษัทนำเข้า ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้จนอาจทำให้มีบริษัทหรือห้างร้านต้องปิดกิจการถาวรในที่สุด”
นอกจากนี้ยังชี้ว่า มาตรการการจำกัดเวลาซื้อขายก็ยังสร้างความบอบช้ำต่ออุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน
“ทางสมาคมคราฟท์เบียร์จึงขอความกรุณาทาง ศบค. โปรดพิจารณาคาสั่งปิดร้านเวลา 21.00 และคำสั่งห้ามบริโภคแอลกอฮอล์ภายในร้าน อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ทางกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ ขอความเป็นธรรมทาง ศบค. อย่าใช้มาตรการหว่านแหหรือเหมารวม เนื่องจากยังมีอีกหลายธุรกิจที่ยังต้องพึ่งพาการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยที่ไม่เคยสร้างปัญหาหรือเป็นแหล่งแพร่ระบาดแต่อย่างใด”
ล่าสุด วันที่ 4 เมษายน 2564 สมาคมคราฟท์เบียร์แจ้งผู้สื่อข่าวว่าอำนาจการตัดสินใจถูกโอนจาก ศบค.ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดตแ่ละพื้นที่แทน
