คนไทยกับเรื่องความเชื่ออยู่คู่กันมานาน แต่ตอนนี้สิ่งนี้กำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมสร้างรายได้ให้ธุรกิจไทย โดยมี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “ดีพร้อม” (DIPROM) ช่วยสนับสนุนเต็มที่
ข้อมูลจากกองข้อมูลธุรกิจผลิตภัณฑ์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยตัวเลขจว่า คนไทยกว่า 14.81% มีความเชื่อเรื่องมูเตลูแบบ 100%
ขณะที่อีก 29.4% มีความเชื่อในระดับพอสมควร รวมๆ แล้วเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรไทยให้ความสำคัญกับเรื่องมงคลและความศักดิ์สิทธิ์เข้ามามีบทบาทในชีวิต
ที่น่าสนใจคือ คนรุ่นใหม่ในเจเนเรชัน Z มากถึง 73.2% ยอมรับว่าตัวเองเป็น “สายมู” ซึ่งกิจกรรมสายมูที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ การดูดวงซึ่งครองอันดับหนึ่งที่ 33.9% ตามด้วยการบูชาเครื่องรางของขลังและพระเครื่อง 30.1% และการเลือกสีหรือเลขมงคล 26.9%
ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้อยู่แค่ในจิตใจ แต่แสดงออกมาผ่านการแต่งกายและเครื่องประดับที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันด้วย
[ เครื่องประดับสายมูมาแรง ตั้งแต่ 2565 ]
ข้อมูลจาก Transparency Market Research ระบุว่า ตลาดเครื่องประดับสายมูทั่วโลกมีมูลค่า 13,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 และคาดว่าจะพุ่งไปถึง 22,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2574 หรือเติบโตเกือบเท่าตัวในเวลาไม่ถึงทศวรรษ
การเติบโตนี้มาจากรายได้ผู้คนที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ และไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติทางจิตวิญญาณและการดูแลสุขภาพจิตใจมากขึ้น
โดยสินค้ายอดนิยมของคนทั่วโลก ได้แก่ จี้ ,สร้อยข้อมือ, แหวน, ต่างหู และสร้อยคอ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการประดับด้วยสัญลักษณ์มงคลและใช้วัสดุตั้งแต่อัญมณี ทองคำ เงิน ไปจนถึงคริสตัล หิน และไม้มงคล
[ ของมงคลไทยมีชื่อเสียงมานาน ]
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “ดีพร้อม” (DIPROM) ภายใต้การนำของ ‘ณัฏฐิญา เนตยสุภา’ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พยายามขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสร้างซอฟต์พาวเวอร์หรือพลังสร้างสรรค์ของประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นสายมูมงคลให้เชื่อมโยงซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Faith Fashion) ภายใต้โครงการส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นจากทุนทางวัฒนธรรมไทยสู่สากล (Fashion Identity) ประจำปี 2568
โดยมีการสนับสนุน 4 สาขาหลัก คือ เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายไทย, อัญมณีและเครื่องประดับไทย, หัตถอุตสาหกรรมไทย และเครื่องสำอางและความงาม
ซึ่งได้แบ่งแนวทางการพัฒนาเป็น 3 มิติ ดังนี้
- การสร้างสรรค์และต่อยอด เพื่อเพิ่มเสน่ห์ คุณค่า และมูลค่า
- การโน้มน้าว เพื่อสร้างการยอมรับและความต้องการจากผู้บริโภค
- การเผยแพร่ เพื่อสร้างเรื่องราวและทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในตลาด
ดีพร้อมมองว่า แฟชั่นสายมูจากทั้ง 4 ภาคมีความโดดเด่นและเอกลักษณ์ต่างกัน อย่างภาคเหนือ จะเด่นเรื่องเครื่องประดับเงินล้านนาและเครื่องรางของขลัง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ผ้าไหมมัดหมี่และผ้าทอพื้นเมือง สำหรับ ภาคกลาง เป็นศูนย์กลางการออกแบบและผลิตเครื่องประดับสมัยใหม่ที่ผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมกับเทรนด์ร่วมสมัย และภาคใต้โดดเด่นด้านผ้า และเครื่องประดับที่มีอิทธิพลจากวัฒนธรรมไทย-มุสลิม
ตัวอย่างธุรกิจคนไทยที่เชื่อมโยงสายมู หนึ่งในนั้นคือ ‘Anya The Herb’
อารยา เริงสำราญ เจ้าของแบรนด์ Anya The Herb ซึ่งได้ก่อตั้งแบรนด์ในปี 2565 ได้นำสมุนไพรไทยและการแพทย์แผนไทยพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพองค์รวมทั้งกายและจิตใจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลักก็คือ ยาสมุนไพรบำรุงฮอร์โมนและสบู่น้ำมันสำหรับผิวแพ้ง่าย
เธอเผยว่า จากความเชื่อและชื่นชอบการมูเพื่อเป็นสิริมงคลอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เมื่อเข้าร่วมโครงการได้นำแนวคิดเชื่อมโยงกับสายมู จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ “สุวรรณณ์ธารา” น้ำมันอโรม่าที่ได้รับการปลุกเสก เสริมพลังและความมั่นใจในการทำงานและความรัก ใช้แตะตามจุดชีพจรต่างๆ กลิ่นหอมผสมผสานจากพฤกษาธรรมชาติ เป็นเครื่องเสริมพลังแห่งจิตใจ
หรือธุรกิจ ‘Pennin Jewelry’ ที่เจ้าของร้านอย่าง อาคิรา เจียมรัตนศิลป์ ได้เผยว่า ได้สืบทอดธุรกิจอัญมณีจากคุณพ่อรุ่นบุกเบิกเหมืองพลอย จนกลายเป็นแนวคิดนิลเมืองจันท์ ของดีในจ.จันทบุรี
โดยธุรกิจนี้ได้สร้างคอลเลคชั่น ‘นางกวัก’ โดยหยิบยกเทพเจ้าไทยสู่รูปแบบร่วมสมัย ลดทอนรูปทรงนางกวักเหลือเพียงลักษณะยกมือเรียบง่าย ออกแบบคล้ายใบนางกวักคว่ำสื่อถึงต้นไม้มงคล ฝังอัญมณีประจำวันเกิด ประดับยันต์เก้ายอดและยันต์นะชาลีติ หัวใจพระสีวลี เพิ่มพลังเมตตามหานิยม โชคลาภ และความก้าวหน้า
ที่น่าสนใจคือ แบรนด์ไม่ได้แค่ขายเครื่องประดับ แต่เพิ่มสตอรี่และคุณค่าเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกดีและมั่นใจมากขึ้น ผ่าน Storytelling ที่ชัดเจน เป็นต้น
ในอนาคตคาดหวังว่า เราจะได้เห็นแฟชั่นสายมูมงคลของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตที่จะเป็นซอฟต์พาวเวอร์สำคัญของประเทศ ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย










