‘ภูมิธรรม’ สั่งหน่วยงาน ก.พาณิชย์ เกาะติดสงคราม ‘อิหร่าน-อิสราเอล’ เตรียมรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจการส่งออกไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยในวันนี้ (15 เม.ย. 67) ว่า จากการที่อิหร่านเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศช่วงผ่านมา ได้ยิงโดรนไปยังพื้นที่เป้าหมายในประเทศอิสราเอล ตนจึงได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ ทำการประเมินสถานการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อการค้าของไทย
ล่าสุด ได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ถึงสถานการณ์ปัจจุบันในอิหร่าน ที่ให้ประชาชนต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โรงเรียนยังไม่ถูกสั่งปิด และประชาชนเริ่มมีความวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่จะตามมา
ทั้งนี้สำหรับผลกระทบการค้าไทย-อิหร่าน เบื้องต้นยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุอยู่ที่อิสราเอล คาดการณ์ว่าสถานการณ์การสู้รบน่าจะไม่ยืดเยื้อ ถ้าอิสราเอลไม่โต้กลับ โดยทางอิหร่านได้ประกาศหยุดโจมตี ยกเว้นถูกอิสราเอลตอบโต้
อีกทั้ง จากการติดตามสถานการณ์ที่ช่องแคบฮอร์มุส ในอิหร่าน ซึ่งเป็นช่องแคบที่สำคัญในการเดินเรือเพื่อส่งออกสินค้าสำคัญของประเทศที่ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลางทั้งซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน กาตาร์และคูเวต ทั้งนี้ช่องแคบฮอร์มุส ถูกใช้เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันถึงวันละ 21 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 21% ของปริมาณการขนส่งน้ำมันทั่วโลกในแต่ละวัน หากไม่สามารถขนส่งผ่านจุดดังกล่าวแม้เพียงชั่วคราว อาจนำไปสู่ความล่าช้าในการจัดหาน้ำมันและทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาพลังงานโลกเพิ่มสูงขึ้นได้
ทั้งนี้ได้สั่งการเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะมีผลกระทบต่อการค้าไทยกับประเทศอื่นๆ หรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อโลก จะได้เตรียมมาตรการรับมือ และแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในภาพรวม และตนจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป
เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 67 กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ได้รับรายงานจาก สถานเอกอัครราชทูต (สอท.) ณ กรุงเทลอาวีฟว่า มีการโจมตีอิสราเอลด้วยโดรนและขีปนาวุธจำนวนมากในหลายทิศทาง โดยทางการอิสราเอลได้ประกาศเตรียมความพร้อมในการตั้งรับและสกัดการโจมตีดังกล่าว และทางการอิสราเอลได้ออกแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัย
ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 13 เม.ย. 67 เวลา 23.00 น. จนถึงวันจันทร์ที่ 15 เม.ย. 67 เวลา 23.00 น. โดยเฉพาะการจำกัดจำนวนการชุมนุมในจุดต่าง ๆ ของประเทศตามสถานการณ์ของพื้นที่ ปัจจุบัน มีคนไทยพำนักอยู่ในอิสราเอลประมาณ 28,000 คน และในอิหร่านประมาณ 300 คน
โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน ได้ติดต่อกับชุมชนไทยเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพัฒนาการของสถานการณ์เป็นระยะเสมอมา โดยขณะนี้ ยังไม่มีรายงานคนไทยในอิสราเอลและอิหร่านได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ประเทศไทยมีความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง และขอให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจเพื่อมิให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่กรณีจำเป็น
กระทรวงการต่างประเทศขอให้พี่น้องคนไทยทุกคนปลอดภัย โดยขอให้คนไทยทั้งในอิสราเอลและพื้นที่ใกล้เคียงเฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข่าวสารของทางการท้องถิ่น และจากสถานเอกอัครราชทูตไทยทุกแห่ง โดยเฉพาะสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ
ในกรณีฉุกเฉินพี่น้องคนไทยสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือเร่งด่วนได้ ดังนี้
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ:
หมายเลขฉุกเฉิน : +972 546 368 150 และ + 972 503 673 195
ภาพปกจาก กระทรวงพาณิชย์










