ศธ. เปิดแนวทางเตรียมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้นักเรียน ต้อนรับการเปิดเทอมภาคเรียนที่ 2 เดือน พ.ย. นี้
วันที่ 13 ก.ย. 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 จากการหารือร่วมกันระหว่าง ศธ. กับ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) เบื้องต้นมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 แผนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม แก่กลุ่มผู้ที่มีอายุ 12 ปี จนถึง 17 ปี 11 เดือน 29 วัน ณ วันที่ฉีด โดยจะอนุโลมให้แก่ กลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่มีอายุเกิน 17 ปี 11 เดือน 29 วันด้วย ซึ่งจะครอบคลุมนักเรียนนักศึกษา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือ เทียบเท่า รวมถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีอายุ 12 ปี ในเดือนตุลาคมจะเริ่มฉีดให้แก่นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน แต่ตั้งเป้าหมายให้นักเรียน นักศึกษาทุกคน ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน
ส่วนของ ศธ. ได้วางแผนการดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสังกัดทั้งของรัฐและเอกชน ที่มีอายุ 12-18 ปี ซึ่งการฉีดวัคซีนให้เด็กจะเป็นไปตามความสมัครใจ ที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน โดย ศธ. ได้กำหนดให้มีการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีน และวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งจะเริ่มสร้างความเข้าใจในสัปดาห์นี้ หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการสอบถามความยินยอมให้เด็กเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
⚫️ แผนการดำเนินโครงการโรงเรียน Sandbox Safety Zone in School (SSS)
เป็นมาตรการสำหรับโรงเรียนประจำ เช่น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และโรงเรียนเอกชนที่มีความพร้อม โดย ศธ.จะประสานกับ สธ. ในการลงพื้นที่ตรวจโรงเรียน ที่จะประสงค์เข้าโครงการว่าเป็นไปตามมาตรการที่วางไว้หรือไม่ ทั้งนี้การเป็นโรงเรียน SSS มีเงื่อนไข 3 ข้อ
1.เป็นโรงเรียนประจำ
- เป็นไปตามความสมัครใจ
- ผ่านการประเมินความพร้อม
โดยต้องแจ้งความประสงค์ผ่านต้นสังกัด มีการหารือร่วมกับผู้ปกครองและผ่านความเห็นชอบ จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จัดให้มีสถานแยกกักตัวในโรงเรียน (School Isolation) จัดให้มี Safety Zone ในโรงเรียน มีการติดตามประเมินผลโดยทีมตรวจ ราชการของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข
รวมถึงมีการรายงานผล ผ่าน MOE COVID และ Thai Stop Covid Plus ซึ่งในขณะนี้ มีสถานศึกษาจำนวน 15,465 แห่ง ที่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยใน 12 จังหวัด มีสถานศึกษาจำนวน 1,687 แห่ง ที่อยู่ในเขตพื้นที่ 45 อำเภอปลอดเชื้อ แบ่งเป็น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,305 แห่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 111 แห่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 21 แห่ง และสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 250 แห่ง
ขณะนี้มีครูได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 70% โดยแผนการจัดสรรวัคซีนในเดือนตุลาคมนี้จะให้สถานศึกษาส่งรายชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยัง ไม่ได้รับวัคซีนมาด้วย เพื่อเร่งจัดสรรวัคซีนให้กลุ่มครู
⚫️ ให้สถานศึกษษรวบรวมข้อมูลนักเรียน
ด้าน นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เผยถึงหลักการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดเรียนว่า วันที่ 15 ก.ย. นี้ จะประชุมร่วมกับ ผู้อำนวยการเขต และสถานศึกษาทั้งหมด เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน แต่เวลานี้สถานศึกษาต้องรวบรวมข้อมูลนักเรียนให้เสร็จ ภายในวันที่ 17 ก.ย. นี้ และหลังจากนั้น โรงเรียนต้องเชิญผู้ปกครองมารับทราบรายละเอียด วันที่ 17 – 22 ก.ย.
ส่วนช่วง วันที่ 22 – 24 ก.ย. จะให้ผู้ปกครองลงนามใบแจ้งประสงค์การฉีดวัคซีน เมื่อเสร็จสิ้น โรงเรียนจะรวบรวมรายชื่อนักเรียน ส่งไปยังผู้อำนวยการเขตการศึกษา เพื่อส่งให้สาธารณสุขจังหสัด วางแผนลงพื้นที่ฉีดวัคซีน ซึ่งหากสถานศึกษาใด มีนักเรียนได้รับวัคซีนมากเพียงพอ หรือ ครอบคลุมร้อยละ 70 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด จะมีโอกาส เปิดเรียนแบบ On Site เร็วขึ้น
หากเปิดไม่ทันวันที่ 1 พ.ย. อาจเป็นช่วงหลังวันที่ 1 พ.ย. ได้เช่นกัน ส่วนโรงเรียน ระดับประถมศึกษา และ อนุบาล ที่นักเรียนอายุต่ำกว่า 12 ปี สามารถเปิดเรียนได้ แต่ต้องประเมินสภานการณ์ความเสี่ยงแต่ละพื้นที่ก่อน และหากเปิดโรงเรียนแล้ว ต้องปฏิบัติตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด










