ปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญนอกจากเรื่องหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นและการจัดเก็บรายได้ที่หดตัวลง โดยเฉพาะในภาษีน้ำมันและภาษีจากสินค้ายาสูบแล้ว ยังมีอีกประเด็นที่ควรให้ความสนใจคือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI)
หากย้อนไปดูในปี 2564 จะพบว่าปีนี้เป็นปีที่เริ่มมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศกลับเข้ามาหลังจากปรับลดลงในปี 2563 ไปอยู่ที่ 49,513 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.75 ล้านล้านบาท
ส่วนในปี 2564 มีมูลค่าอยู่ที่ 65,282 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 2.31 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.85% จากปีก่อนหน้า และสูงขึ้นอีกเล็กน้อยในปี 2565 ที่ 67,446 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.31% จากปีก่อนหน้า
ขณะที่ในปี 2566 มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยอยู่ที่ 55,692 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.93 ล้านล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหรือลดลงกว่า 17%
ประเทศที่มีการเข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดในปีที่ผ่านมา คือ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และมาเลเซีย
ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับการลงทุนมากที่สุด คือ การผลิต กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย กิจกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ การผลิตอาหาร การขายส่งและการขายปลีก รวมถึงการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์
[ FDI คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ ]
หลายคนอาจสงสัยว่าประเด็นนี้มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจอย่างไร ก็คงต้องอธิบายว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
โดยการลงทุนนี้นำมาซึ่งการถ่ายโอนเทคโนโลยีการสร้างงานและการพัฒนาทักษะของแรงงานไทย รวมถึงยังมีผลต่อการกระจายรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เมื่อมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้ามา ยังส่งผลดีให้กับประเทศไทยในอีกหลายๆ ด้าน เช่น
1) ช่วยสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในภาคการผลิตและบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับอุตสาหกรรม
2) ช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และพลังงาน รวมถึงปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจและดึงดูดการลงทุน และ
3) ช่วยส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะของแรงงานไทยให้ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดการลงทุนสมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้และเพิ่มโอกาสการจ้างงาน
[ เมื่อ FDI ลดลง เศรษฐกิจก็ถดถอยตาม ]
อย่างที่เราพอจะเข้าใจในเบื้องต้นแล้วว่าการลงทุนโดยจากประเทศสำคัญตรงที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของประเทศในหลายๆ ด้าน ทั้งเงินทุนและทรัพยากร การจ้างงานที่จะเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการนำมาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับประเทศ
ในทางตรงกันข้ามหากไม่มีการลงทุนจากต่างประเทศ เงินทุนทรัพยากรก็จะขาด การจ้างงานก็จะลดลง ประเทศก็จะล้าหลังเพราะไม่มีการสนับสนุนให้เกิดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งก็ส่งผลไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่จะโตช้าลง
เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น อาจจะอธิบายง่ายๆ ว่าประเทศไทยเป็นเหมือนบริษัทแห่งหนึ่งที่ก็ต้องการเงินลงทุนจากนักลงทุนภายนอก เพื่อไปลงทุนไปขยายธุรกิจในส่วนต่างๆ ซึ่งหากไม่มีเงินลงทุนเข้ามาลำพังเงินของตัวเองที่มีก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆ
ดังนั้น การที่ได้เงินลงทุนจากต่างประเทศจึงสำคัญเพราะถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีการลงทุนไม่มีการเติบโต เศรษฐกิจก็จะย่ำอยู่กับที่หรือเติบโตในลักษณะเดิมๆ
[ เศรษฐกิจไม่โต คนรวยยากขึ้น คนจนยิ่งลำบาก ]
เมื่อการลดลงของเงินลงทุน FDI ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ค่อยเติบโต แน่นอนว่าผลกระทบที่จะตามมาคือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชากรภายในประเทศ เพราะเศรษฐกิจที่โตช้าลงจะส่งผลต่อรายได้และความมั่นคงของประชากรโดยตรง
เนื่องจากเงินลงทุน FDI มักมาพร้อมกับการก่อตั้งโรงงานหรือธุรกิจใหม่ ซึ่งสร้างงานในท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่หาก FDI ลดลง โอกาสในการสร้างงานใหม่ๆ ก็จะลดลง ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของคนลดลง และทำให้การกระจายความมั่งคั่งช้าลง
นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนก็ต้องมีการจ่ายภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ และรัฐบาลสามารถนำไปใช้พัฒนาประเทศต่อได้ เช่น โครงสร้างพื้นฐานหรือสวัสดิการสังคม ซึ่งหาก FDI ลดลงรัฐบาลจะมีรายได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและกระทบไปถึงคุณภาพของประชากรในระยะยาวด้วย
สรุปก็คือ ประเทศที่มีการลงทุนจากต่างประเทศ หรือ FDI เข้ามาเศรษฐกิจก็จะเติบโตเมื่อประเทศมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจะส่งผลให้คนในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือร่ำรวย ตรงกันข้ามหากไม่มีเงินลงทุนเข้ามาเศรษฐกิจไม่โต คุณภาพชีวิตของคนในประเทศก็จะไม่ดีนั่นเอง
[ อยากให้เศรษฐกิจบูม ต้องดึง FDI กลับมา ]
สำหรับในภูมิภาคเอเชียประเทศที่ได้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากที่สุดในปัจจุบัน คือ สิงคโปร์ที่ยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน โดยในปี 2566 มีมูลค่า FDI ประมาณ 2.14 แสนล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 5.67 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเงิน การประกันภัยและบริการดิจิทัล
ซึ่งสิงคโปร์ถือว่าเป็นประเทศตัวอย่างที่แสดงให้ถึงความโดดเด่นด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐบาล มีโครงสร้างพื้นฐานและตลาดแรงงานที่ตอบโจทย์นักลงทุนทำให้ยังคงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้มากในภูมิภาคเอเชีย
ดังนั้น ถ้าอยากให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สำหรับรัฐบาลชุดใหม่นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่ควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าประเด็นอื่นๆ เพราะหากทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นจุดสนใจของนักลงทุนได้อีกครั้งและมีเงินลงทุนกลับเข้ามาทำให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวได้ก็จะส่งผลให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วย










