เมื่อคืนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการ ทำให้มาตรการต่างๆ ที่อยู่ในชุด ‘Quick Win’ ของรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงแนวทางปรับโครงสร้างลดหย่อนภาษีเพื่อการออมและการลงทุนมีแนวโน้มว่าจะต้องชะลอการพิจารณาออกไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ
แต่แม้สถานการณ์การเมืองจะทำให้ไทม์ไลน์ไม่ชัดเจน ทิศทางของมาตรการนี้ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่หลายคนจับตา เพราะถือเป็นการปรับระบบลดหย่อนภาษีครั้งใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อเงินออมของมนุษย์เงินเดือน คนรุ่นใหม่ และผู้เสียภาษีจำนวนมาก
และเพื่อให้เห็นภาพว่ามาตรการนี้ต้องการปรับอะไร และจะกระทบใครบ้าง Today Bizview สรุปประเด็นสำคัญที่กระทรวงการคลังเคยนำเสนอไว้
โดย ‘ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้บอกไว้ว่า ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีประมาณ 300,000 คนเท่านั้นที่นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนต่างๆ มาหักลดหย่อนภาษี
ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท การปรับปรุงโครงสร้างการลดหย่อนภาษีครั้งนี้จึงมีเป้าหมายสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่พึ่งเริ่มทำงาน มนุษย์เงินเดือน หรือผู้ที่มีรายได้ปานกลางได้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณเพิ่มขึ้น
โดยเบื้องต้นรายละเอียดที่ถูกเปิดเผยออกมา แม้ว่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ เพราะกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ
- เพิ่มทางเลือกการออมผ่านบัญชี TISA สำหรับลงทุนในหุ้นไทย โดยมีข้อเสนอให้เปิดบัญชี Thailand Individual Saving Account หรือ TISA เพื่อใช้เป็นช่องทางลงทุนระยะยาวในหุ้นไทย และสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ เงื่อนไขหลักๆ คือ
- แต่ละคนสามารถเปิดบัญชีได้เพียงหนึ่งบัญชี
- เงินที่ลงทุนต้องถือไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี และจะขายคืนได้เมื่ออายุครบ 55 ปี
- จะลงทุนเกิน 800,000 บาทต่อปีก็ได้ แต่สิทธิ์ลดหย่อนจะคิดได้สูงสุดแค่ 800,000 บาท
- รายได้จากดอกเบี้ยหรือเงินปันผลภายในบัญชี วงเงินไม่เกิน 200,000 บาทแรก จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%
- รวมเพดานลดหย่อนเพื่อการออม–ลงทุนไว้ที่ 800,000 บาทต่อปี และคิดลดหย่อนตามระดับรายได้ วงเงินลดหย่อนจากการออมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น RMF, Thai ESG, เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันบำนาญ หรือบัญชีลงทุนหุ้นไทยจะถูกรวมไว้ไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี โดยจะคิดสิทธิลดหย่อนแตกต่างกันตามรายได้ของผู้เสียภาษี ดังนี้
- รายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี จะนำค่าใช้จ่ายในการซื้อหน่วยลงทุนมาคิดลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ตัวอย่างเช่น ลงทุน 100,000 บาท จะใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ 130,000 บาท
- รายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี จะนำค่าใช้จ่ายมาคิดลดหย่อนได้ 0.7 เท่า เช่น ลงทุน 100,000 บาท จะลดหย่อนได้เพียง 70,000 บาท
และเมื่อนำมาคิดแบบเต็มเพดาน 800,000 บาท
- ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จะใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้มากสุด 1,040,000 บาท
- ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาท จะลดหย่อนได้สูงสุด 560,000 บาท
แม้ว่านโยบายนี้จะมีเป้าหมายช่วยให้คนทำงานออมได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่น่าสนใจว่าการปรับครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรกับผู้เสียภาษีแต่ละกลุ่ม ใครจะได้ประโยชน์มากขึ้น และใครบ้างที่อาจไม่ได้สิทธิ์เท่าเดิม ดังนั้นนี่คือข้อดี-ข้อเสียและประเด็นที่หลายคนกำลังจับตา
เมื่อมองในภาพรวม มาตรการนี้ก็มีข้อดีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่รายได้ไม่สูงมาก เพราะจะได้สิทธิลดหย่อนเพิ่มขึ้นจากตัวคูณ 1.3 เท่า ช่วยให้เริ่มออมได้ง่ายขึ้น ลงทุนน้อยแต่ลดหย่อนได้มากขึ้น
ถือเป็นแรงจูงใจที่ดีสำหรับมนุษย์เงินเดือน ส่วนเพดานลดหย่อนที่ถูกรวมเป็นตัวเลขเดียว 800,000 บาท ก็ทำให้กติกาชัดเจนและวางแผนง่ายกว่าเดิม ไม่ต้องแยกจำหลายเงื่อนไขเหมือนเมื่อก่อน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง คนที่มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่จ่ายภาษีเป็นสัดส่วนใหญ่ของประเทศ อาจรู้สึกว่าตัวเอง ‘เสียสิทธิ์โดยไม่ได้อะไรกลับมา’ เพราะตัวคูณลดเหลือ 0.7 เท่า ทำให้ภาระภาษีเพิ่มขึ้นทันที
แม้จะเป็นคนที่อยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้องมาตลอด บางคนที่รายได้เกินเส้นแค่เล็กน้อยก็อาจรู้สึกไม่แฟร์ ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่า ทำไมรัฐไม่ไปตามเก็บภาษีจากคนรวยนอกระบบ หรือปิดช่องโหว่ใหญ่ๆ ก่อนที่จะมาปรับลดสิทธิของกลุ่มที่แบกรับภาษีจริงอยู่แล้ว
นอกจากนี้ คนรายได้ปานกลางถึงต่ำบางส่วนก็อาจใช้ประโยชน์จากมาตรการได้ไม่เต็มที่ เพราะออมไม่ถึงเพดาน ขณะที่ระบบแบบใหม่ก็มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ต้องคอยระวังทั้งเพดานและตัวคูณ อีกทั้งรายละเอียดหลายอย่างยังต้องรอรัฐบาลใหม่มาสานต่อ ทำให้หลายคนยังไม่แน่ใจว่ากติกาสุดท้ายจะออกมาแบบไหนกันแน่
โดยรวมแล้ว มาตรการนี้มีความตั้งใจดี ต้องการลดความเหลื่อมล้ำจากระบบเดิมที่คนรายได้สูงได้ประโยชน์มากกว่า และพยายามส่งแรงจูงใจไปยังกลุ่มที่ควรออมให้มากขึ้น แต่ผลลัพธ์จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับรายได้ ความสามารถในการออม และมุมมองความเป็นธรรมของแต่ละคน
ท้ายที่สุด มาตรการนี้อาจยังมีคำถามอีกเยอะ ทั้งเรื่องความเป็นธรรม เรื่องแรงจูงใจ และเรื่องผลกระทบของแต่ละคน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ระบบภาษีไทยกำลังพยายามปรับให้ดีขึ้นกว่าสมัยก่อน แม้จะยังไม่ลงตัวก็ตาม
ส่วนมาตรการนี้จะถูกสานต่อหรือปรับใหม่มากน้อยแค่ไหน คงต้องรอรัฐบาลชุดต่อไปเป็นผู้ตัดสินใจ แต่สำหรับผู้เสียภาษีทุกคน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือทำความเข้าใจหลักการใหม่ไว้ให้ชัด พอวันหนึ่งมีกติกาที่แน่นอนขึ้น เราจะได้วางแผนภาษีและการออมของตัวเองได้อย่างมั่นใจและไม่เสียสิทธิ์โดยไม่จำเป็น










