มุมมอง 30 ปี ‘ดร.นิเวศน์’ โครงสร้างประเทศไทยไม่หนุน การเติบโตบริษัทในตลาดหุ้น

มุมมอง 30 ปี ‘ดร.นิเวศน์’ โครงสร้างประเทศไทยไม่หนุน การเติบโตบริษัทในตลาดหุ้น

Personal Finance

เวลาที่พูดถึงนักลงทุนสาย VI ชื่อแรกที่หลายคนมักนึกถึงก็คือ ‘ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร’ นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยมากว่า 30 ปี บุคคลที่หลายคนยกให้เป็น ‘ไอคอน’ ของวงการลงทุนไทย

ในงานสัมมนา Better Trade 2025 หัวข้อ 30 Years of Value Investing โดย ‘ดร.นิเวศน์’ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองที่สั่งสมมาตลอดเส้นทางการเป็นนักลงทุนที่ยาวนาน ทั้งหลักคิดในการเลือกหุ้น วิธีมองธุรกิจ 

การจะเป็นนักลงทุน VI ไม่ใช่เรื่องของโชคหรือสูตรสำเร็จ แต่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือการ ‘มองเห็นภาพใหญ่ของตลาด’ ซึ่งเป็นหัวใจที่ใช้มาตลอดกว่า 3 ทศวรรษของการลงทุน

[ ซื้อหุ้นเหมือนเป็นเจ้าของกิจการ ]

‘ดร.นิเวศน์’ เริ่มเล่าถึงหลักคิด VI ที่ใช้มายาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของการลงทุนแบบ VI นั่นคือการมองหุ้นเสมือนเป็นกิจการจริงๆ ที่เราจะถือครองในระยะยาว การตัดสินใจลงทุนจึงต้องเริ่มจากคำถามว่า ธุรกิจนี้มีคุณสมบัติพอที่จะถือยาวหรือไม่ 

ไม่ใช่มองแค่ราคาบนกระดาน แต่ต้องดูโครงสร้างรายได้ ความแข็งแกร่งของสินค้า การแข่งขันในอุตสาหกรรม และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอควบคู่กันไปทั้งหมด

เพราะธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่ผู้คนต้องใช้ซ้ำ มีความจำเป็นต่อชีวิต และไม่ถูกเปลี่ยนทดแทนง่ายๆ การลงทุนแบบนี้จึงให้ความสำคัญกับคุณภาพกิจการเหนือความผันผวนระยะสั้น เพราะมูลค่าที่แท้จริงจะสะท้อนออกมาในระยะยาวเสมอ

[ โลกทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อ 30 ปีก่อน ]

ในการลงทุนทุกวันนี้ แม้หลักการจะเหมือนเดิม แต่สภาพแวดล้อมการลงทุนเปลี่ยนไปอย่างมาก เทคโนโลยีทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วกว่าเดิม 

หลายธุรกิจที่เคยแข็งแกร่งถูกกระทบจากแพลตฟอร์มใหม่ๆ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายประเทศชะลอลง และการแข่งขันในหลายอุตสาหกรรมเข้มข้นกว่าที่เคย

ย้อนไปตลาดหุ้นสมัยก่อนมีโอกาสซ่อนอยู่มาก เพราะข้อมูลยังเข้าถึงยาก นักลงทุนก็ยังไม่มาก และหลายธุรกิจเพิ่งเริ่มต้น แต่วันนี้ข้อมูลเปิดกว้าง ราคาสะท้อนข่าวสารเร็วขึ้น และการหาหุ้นดีราคาถูกจึงยากกว่าเดิมมาก นักลงทุนยุคใหม่จึงต้องวิเคราะห์เชิงโครงสร้างมากขึ้น ไม่ใช่แค่ดูงบการเงินอย่างเดียว

[ ตลาดไทยไม่ขึ้น ก็ต้องมองหาตลาดใหม่ ]

‘ดร.นิเวศน์’ อธิบายว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังเริ่มชะลอลง หลายอุตสาหกรรมพลิกฟื้นยาก จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลง และการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ระดับทรงตัวหรือถอยหลัง ทำให้โอกาสในตลาดไทยไม่เด่นชัดเหมือนอดีต

เมื่อโครงสร้างประเทศไม่ได้สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในตลาดหุ้น นักลงทุนจำเป็นต้องมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพมากกว่า เช่น เวียดนาม 

ซึ่ง ’เวียดนาม’ กำลังอยู่ในช่วงขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบเร่งตัว ธุรกิจค้าปลีก การบริโภค และบริการสมัยใหม่เติบโตเร็ว รวมถึงจำนวนผู้ลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ตลาดยังมีพื้นที่ให้มูลค่าธุรกิจเติบโตตามเศรษฐกิจจริง

การกระจายการลงทุนจึงไม่ใช่เพียงการลดความเสี่ยง แต่เป็นการค้นหาโอกาสในประเทศที่อยู่ในวัฏจักรเติบโตแทนประเทศที่โตช้า

[ AI เข้ามาเปลี่ยนเกม ]

ปัจจุบัน ‘ดร.นิเวศน์’ มองว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ปรับเปลี่ยนวิธีที่นักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลอย่างชัดเจน ข้อมูลที่เคยต้องใช้เวลาหาวันหนึ่ง แต่วันนี้สามารถสรุปได้ภายในไม่กี่วินาที AI สามารถช่วยรวบรวมมุมมองเชิงอุตสาหกรรม วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจ และเปรียบเทียบความสามารถแข่งขันของบริษัทต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ผลคือความได้เปรียบด้านข้อมูลลดลง เพราะทุกคนเข้าถึงระดับความรู้ใกล้เคียงกัน นักลงทุนจึงต้องพัฒนาความเข้าใจเชิงโครงสร้างให้ลึกขึ้นกว่าเดิม เน้นการตีความ การมองภาพใหญ่ และการคาดการณ์ผลกระทบจากเทรนด์ใหม่ๆ แทนการหาข้อมูลที่คนอื่นหาไม่ได้ AI จึงไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นเครื่องมือที่ทำให้มาตรฐานของนักลงทุนสูงขึ้นทั้งระบบ

เมื่อโลกการลงทุนเปลี่ยนเร็ว การเป็นนักลงทุน VI จึงต้องปรับตาม ไม่ยึดติดกับตลาดเดียวหรือวิธีเดิมๆ การมองธุรกิจต้องมองให้ลึกขึ้น มองประเทศต้องมองให้กว้างขึ้น และการใช้ข้อมูลต้องอาศัยทั้งเครื่องมือใหม่และการวิเคราะห์ที่รอบด้าน

เพราะฉะนั้นหลักคิดของ VI ยังใช้ได้เสมอ แต่ต้องคู่กับความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก สภาพเศรษฐกิจ และบทบาทของเทคโนโลยี นักลงทุนยุคนี้จึงต้องผสมผสานทั้งความรู้พื้นฐาน การมองภาพใหญ่ และการเปิดรับเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตในตลาดที่ซับซ้อนกว่าเดิมแบบทุกวันนี้

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง