ถอดวิชาจากเกาหลีใต้ วงการภาพยนตร์ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้เร็วกว่าชาติอื่น

ถอดวิชาจากเกาหลีใต้ วงการภาพยนตร์ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้เร็วกว่าชาติอื่น

FEATURES

อุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ คือหนึ่งใน Soft Power ที่เป็นจุดแข็งของเกาหลีใต้ ที่สามารถก้าวข้ามเรื่องวัฒนธรรมจนสามารถคว้ารางวัลภาพยนต์ระดับโลกอย่างออสการ์มาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง Parasite จนดูเหมือนว่าช่วงเวลานี้จะเป็นยุคทองของหนังเกาหลีที่เตรียมต่อแถวเข้าทำเงินตลอดปี 2020  แต่ทว่าวิกฤติโควิด-19 กลับทำให้ความคาดหวังที่ตั้งเอาพังทลายลง ทำให้ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ต้องปรับตัวเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้

หากเปรียบอุตสาหกรรมหนังเกาหลีในปี 2020 เป็นหนังสักเรื่อง ก็คงเป็นหนังที่รวมทุกรสชาติเข้าด้วยกัน ทั้งความน่าตื่นเต้น ความเศร้า และความหวัง

ทุกอย่างเริ่มต้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของหนังเรื่อง Parasite โดยผู้กำกับบองจุนโฮที่คว้ารางวัลออสการ์มาหลายรางวัลซึ่งรวมถึงหนังยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม ทำให้หลายคนตั้งความหวังสวยหรูไว้ว่า ปี 2020 จะต้องเป็นปีทองของวงการหนังเกาหลีอย่างแน่นอน บริษัทหนังหลายแห่งที่วางหนังตัวเต็งเข้าฉายในปีนี้ ต่างคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้าตั้งแต่หนังยังไม่เข้าฉาย  ขณะที่ผู้สันทัดกรณีหลายฝ่ายก็วิเคราะห์ว่าปีนี้ยอดขายตั๋วตลอดทั้งปีน่าจะทำสถิติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่แล้วฝันร้ายก็เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม หนึ่งเดือนหลังจาก Parasite ได้รับรางวัลออสการ์ เมื่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ลามเข้ามาสู่ประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก กิจกรรมทางธุรกิจหลายประเภทต้องถูกระงับ ซึ่งแน่นอนว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากอย่างภาพยนตร์ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ยอดผู้ชมที่ซื้อตั๋วเข้าชมภาพยนตร์ลดลงจากจำนวน 12.4 ล้านคนในเดือนเดียวกันเมื่อปีทีแล้ว เหลือเพียง 1.83 ล้านคน ถือเป็นยอดที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติมา บริษัทจัดจำหน่ายหลายแห่งต่างเลื่อนโปรแกรมฉายกันพัลวัน ถึงตอนนี้ไม่มีใครกล้าคิดแล้วว่าอุตสาหกรรมหนังเกาหลีจะสร้างสถิติอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาบ้าง  ขอเพียงแค่เอาตัวรอดจากวิกฤติที่มองไม่เห็นแสงสว่างให้ได้ก็พอแล้ว

อย่างไรก็ดี คล้อยหลังไม่ถึง 3 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ระบาดใหญ่ระลอกแรก สัญญาชีพของอุตสาหกรรมหนังเกาหลีก็เริ่มกลับมาดีอีกครั้ง เมื่อมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ 3 เรื่องเข้าฉายในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนถึงสิงหาคม ทำรายได้อย่างงดงามบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ  เริ่มตั้งแต่ Alive หนังซอมบี้บุกเมือง ซึ่งเข้าฉายในปลายเดือนมิถุนายน เปิดตัววันแรกด้วยยอดจำนวนผู้ซื้อตั๋วเข้าชมกว่าสองแสนคน ก่อนจะปิดโปแกรมด้วยจำนวนผู้ชม 1.9 ล้านคน ตามมาด้วย Peninsula ซึ่งเป็นภาคต่อของหนังดังในปี 2015 เรื่อง Train to Busan เข้าฉายในช่วงกลางเดือน กรกฎาคม  เปิดตัวสัปดาห์แรกด้วยตัวเลขยอดขายตั๋วสูงถึง 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และทำรายได้ทั้งโปรแกรมทั้งหมด 27.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และหนังแอ็คชั่นแนวไล่ล่าที่มีเมืองไทยเป็นฉากหลังเรื่อง Deliver Us From Evil เปิดตัวในต้นเดือนสิงหาคมด้วยรายได้กว่า 10 ล้านเหรียญ ก่อนที่จะทำรายได้ตลอดทั้งโปรแกรมกว่า 32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ตัวเลขเหล่านี้ หากอยู่ในสภาวะปกติ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับวงการหนังเกาหลี  เพราะหนังฮิต ๆ บางเรื่องอาจทำรายได้สูงเกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ แต่ในช่วงเวลาที่โรงภาพยนตร์ทุกแห่งถูกจำกัดจำนวนที่นั่งไม่เกิน 50% แล้ว ตัวเลขดังกล่าวจึงถือว่ามีความหมายมากสำหรับอุตสาหกรรมหนังเกาหลี

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คำถามที่มีต่ออุตสาหกรรมหนังเกาหลี ได้เปลี่ยนจากคำถามที่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรจากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นไปเป็นอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อุตสาหกรรมหนังเกาหลีฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้แทน ซึ่งหากลองวิเคราะห์หาเหตุผล อาจเกิดจากปัจจัยสำคัญต่อไปนี้

1.การเข้ามามีบทบาทของภาครัฐ

ทันทีที่โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหนังในเดือนมีนาคม จนส่งผลให้ยอดรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศตกลง 88% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว รัฐบาลได้ออกมาตรการเร่งด่วน 2 มาตรการเพื่อช่วยเหลือ 2 ภาคส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคส่วนของโรงภาพยนตร์ และภาคการผลิตภาพยนตร์ โดยในส่วนของโรงภาพยนตร์ รัฐได้ประกาศงดเก็บภาษีจากค่าตั๋วภาพยนตร์จำนวน 3% เพื่อจัดส่งเข้ากองทุนพัฒนาภาพยนตร์จากโรงภาพยนตร์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์สามารถนำเงินจำนวนนี้มาใช้จ่ายหมุนเวียนในยามวิกฤตได้

นอกจากนี้ในเดือนมิถุนายน  สภาการภาพยนตร์แห่งเกาหลีซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐ  ได้จัดสรรคูปองส่วนลดค่าตั๋วหนังจำนวน 6 พันวอน หรือเทียบเท่ากับ 4.89 เหรียญสหรัฐฯ (ราคาตั๋วหนังในเกาหลีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1 หมื่นวอน หรือ 8.15 เหรียญสหรัฐฯ) ให้แก่ประชาชนทั่ว เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนกลับไปดูหนังในโรงอีกครั้ง ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จเมื่อมีผู้ชมจำนวนมากแห่แหนไปชมภาพยนตร์เรื่อง Alive ที่เข้าฉายในช่วงปลายเดือนจนแน่นขนัด

ส่วนในส่วนของผู้ผลิตภาพยนตร์  รัฐได้คัดเลือกโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ที่ต้องเลื่อนฉาย หรือต้องหยุดการถ่ายทำ จำนวน 20 โปรเจ็กต์เพื่อพิจาราณาให้ทุนสนับสนุนทางด้านการตลาดสำหรับภาพยนตร์ที่เสร็จแล้วแต่ต้องเลื่อนฉาย และทุนสนับหรับการกลับมาถ่ายทำใหม่สำหรับภาพยนตร์ที่ต้องหยุดถ่ายกลางคัน นอกจากนี้รัฐยังจัดตั้งกองทุนสำหรับช่วยเหลือบุคลากรในด้านการผลิตที่ต้องตกงานด้วย

  1. การไม่หยุดกิจกรรมฉายหนังของผู้ประกอบการโรงหนัง

ประเทศเกาหลีใต้น่าจะเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่ปิดโรงหนังขณะที่เกิดวิกฤตโควิด-19 โดยระหว่างที่เกิดวิกฤตโรงหนังเครือใหญ่อย่าง เครือ CGV เครือ LOTTE และ เครือ MEDIA PLEX ต่างยังให้ยังคงเปิดให้บริการเป็นปกติ เพียงแต่เลือกปิดบางสาขาในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยเท่านั้น และแม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว จะไม่มีหนังใหม่ของทั้งเกาหลีหรือต่างชาติเข้าฉาย โรงหนังส่วนใหญ่ก็นำหนังที่เคยฉายมาแล้วกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง เช่น หนังเรื่อง LA LA LAND และ Avengers ภาคต่างๆ เป็นต้น

และจากการที่กิจกรรมฉายหนังยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องทำให้กิจกรรมการดูหนังของประชาชนไม่เกิดภาวะสะดุด ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ของโรคเริ่มคลี่คลาย ประชาชนเกาหลีจึงพร้อมใจกลับเข้าไปดูหนังในโรงอีกครั้ง

  1. พฤติกรรมการดูหนังในโรงภาพยนตร์ของผู้ชมเกาหลี

ประเทศเกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประชากรดูหนังในโรงมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยในปี 2013 รายงานของ Screen Digest  ซึ่งเป็นบริษัทเก็บข้อมูลเชิงสถิติออนไลน์ของอังกฤษระบุว่า คนเกาหลีหนึ่งคนดูหนังในโรงภาพยนตร์ 4.12 เรื่องต่อปี มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่คนอเมริกันตามมาเป็นลำดับสองด้วยตัวเลข 3.88 เรื่องต่อปี นอกจากนี้ในปี 2019 คนเกาหลีใต้ซื้อบัตรเข้าชมภาพยนตร์ตลอดทั้งปี จำนวน 226.7 ล้านใบ คิดเป็นรายได้ทั้งหมด 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 49,600 ล้านบาท

จากสถิติตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่า โรงหนังยังคงเป็นแหล่งบันเทิงที่คนเกาหลีใต้เข้าไปใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทันทีที่หนังฟอร์มใหญ่เข้าฉาย คนเกาหลีก็กลับเข้าโรงหนังอย่างพร้อมเพรียง

จากปัจจัย 3 ข้อข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การที่อุตสาหกรรมหนังเกาหลีใต้กลับฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง เกิดจากการการร่วมแรงร่วมใจกันของทั้งภาครัฐ ที่ให้ความช่วยเหลือวงการหนังทันทีที่เกิดวิกฤต ภาคเอกชน โดยเฉพาะโรงหนังที่ยังคงให้บริการอย่างต่อเนื่อง จนคนดูไม่รู้สึกว่ากิจกรรมการดูหนังต้องสะดุดหยุดนิ่งลง และภาคประชาชนที่ยังคงให้ความสำคัญกับการดูหนังในโรงอยู่ ดังนั้นแม้ว่าวิกฤตโรคระบาดจะเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นคำรบสองเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่าอุตสาหกรรมหนังเกาหลีจะผ่านพ้นไปได้แล้วตั้งตารอวันที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้มีส่วนอย่างมากในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ อย่างต่อเนื่องและยาวนานไม่ว่าจะเป็นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ที่รัฐบาลมอบเงินสนับสนุนและยกเว้นภาษีแก่ผู้สร้างภาพยนตร์ หรือในช่วงปี 2019 มอบเงินสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ในประเทศจำนวนกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ และรวมถึงวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นล่าสุดที่รัฐบบาลได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งการงดเก็บภาษีจากค่าตั๋วภาพยนตร์ หรือสนันสนุนเงินให้ประชาชนเข้าดูหนังในโรงภาพยนตร์ ประกอบกับพื้นฐานความนิยมดูหนังของชาวเกาหลีด้วยแล้ว ก็ทำให้วงการภาพยนตร์เกาหลีสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าชาติอื่นๆ

Writerภาณุ
ภาณุ อารีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่งในปี 2538 จากนั้นได้ทำงานเป็นช่างบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์ไทย 2 เรื่องได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ภาค 2 และ เพื่อเพื่อน เพื่อฝัน เพื่อวันเกียรติยศ ก่อนที่จะทำงานเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิหนังไทย ทำหน้าที่ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวภาพยนตร์ไทยในอดีต

ขณะเดียวกัน ภาณุ ได้ผลิตภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้นและยาวหลายเรื่อง โดยในจำนวนนี้รวมถึงภาพยนตร์สารคดีสั้นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง” (2543) ได้รับเลือกเข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง ปี 2000 ภาพยนตร์เรื่อง “น้ำใต้ท้องเรือ” (2544) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 100 หนังไทยที่คนไทยควรดู โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว เรื่อง มูอัลลัฟ (2551) และ เบบี้ อาราเบีย (2553) ซึ่งทั้งสองเรื่อง

ภาณุได้ร่วมกำกับกับ ก้อง ฤทธิ์ดี และกวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ และได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แวนคูเวอร์ เทศกาลภาพยนตร์สารคดียามากาตะ เทศกาลภาพยนตร์ฮาวาย เทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เป็นต้น

ปัจจุบันภาณุ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสหมงคลฟิล์ม และเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชา ธุรกิจภาพยนตร์ และ การผลิตภาพยนตร์สารคดี ที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต , มหาวิทยาลัยบูรพา ,มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ,และมหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่ Film Club

ในปี พ.ศ. 2560 ภาณุ ได้รับรางวัล ปีติสันติธรรม จากสถานบันปรีดี พนมยงค์

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง