คดีที่นักศึกษาหนุ่มชาวเกาหลีใต้วัย 22 ปี ถูกหลอกให้ไปทำงานกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา ก่อนถูกทรมานจนเสียชีวิต กำลังเขย่าสังคมเกาหลีใต้อย่างหนัก และทำให้รัฐบาลต้องขยับในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่การยกระดับ ‘คำเตือนการเดินทาง’ ไปยังพนมเปญเป็นระดับพิเศษ เรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาเข้าพบ ไปจนถึงการตั้งคณะทำงานฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือพลเมืองเกาหลีใต้ในต่างแดน
ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ระบุว่า คดีลักพาตัว กักขัง และทรมานชาวเกาหลีในกัมพูชาพุ่งจาก 17 คดีในปี 2023 เป็นกว่า 330 คดีภายใน 8 เดือนแรกของปี 2025 เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงานที่ถูกหลอกผ่านโฆษณางานเงินดี พอถึงที่หมายกลับถูกยึดพาสปอร์ต บังคับทำงานคอลเซ็นเตอร์ และหากขัดขืนก็ถูกทำร้ายหรือขายต่อให้ขบวนการอื่น
ความเคลื่อนไหวของเกาหลีใต้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีประเทศออกมาใช้ ‘ยาแรง’ จัดการกับขบวนการหลอกลวงและการฟอกเงินในกัมพูชา หากยังจำกันได้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็เพิ่งประกาศคว่ำบาตร Huione Group บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ในกัมพูชา ซึ่ง FinCEN ระบุว่าเป็น “ศูนย์กลางฟอกเงินของเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก”
เหตุการณ์ที่ทั้งสองประเทศกำลังเผชิญ จึงเหมือน ‘ปัญหาเดียวกันแต่คนละปลายสาย’ เกาหลีใต้เจอกับการสูญเสียชีวิตคน ส่วนสหรัฐฯ เจอกับเงินที่ไหลออกจากระบบการเงินโลก แต่สุดท้าย เส้นเรื่องทั้งสองกลับมาบรรจบกันที่กัมพูชา
‘Huione Group’ เส้นเลือดใหญ่ของทุนเทาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในสายตาสหรัฐฯ ‘Huione Group’ ไม่ใช่เพียงบริษัทการเงินทั่วไป แต่คือหัวใจสำคัญของโครงสร้างฟอกเงินที่เชื่อมโยงตั้งแต่คอลเซ็นเตอร์ในสีหนุวิลล์ ไปจนถึงแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2025 สำนักงานป้องกันอาชญากรรมทางการเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ หรือ FinCEN ออกประกาศตามมาตรา 311 แห่ง Patriot Act ระบุว่า Huione Group เป็น ‘สถาบันการเงินที่เป็นภัยคุกคามหลักต่อระบบการเงินโลก’ และเสนอใช้มาตรการขั้นสูงสุด Special Measure 5 เพื่อห้ามธนาคารสหรัฐฯ เปิดหรือคงบัญชีตัวแทนให้กับบริษัทในเครือ เท่ากับตัด Huione ออกจากระบบดอลลาร์โดยตรง
FinCEN เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2021–2025 บริษัทในเครือของ Huione ฟอกเงินผิดกฎหมายกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินเหล่านี้เชื่อมโยงกับขบวนการหลอกลงทุนออนไลน์ที่เรียกว่า ‘pig butchering scam’ เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติในเอเชีย และการโจรกรรมทางไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ
โครงสร้างของ Huione ประกอบด้วยบริษัทลูกหลายแห่ง เช่น Huione Pay แพลตฟอร์มโอนเงินที่แทบไม่มีระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน, Huione Crypto ผู้ให้บริการคริปโตที่เอื้อต่อการฟอกเงิน และ Haowang Guarantee ตลาดมืดออนไลน์ที่ขายเครื่องมือปลอมตัวตนและข้อมูลหลอกลวงทางไซเบอร์
เครือข่ายเหล่านี้ทำงานสอดประสานกันเหมือนระบบการเงินเงาในอีกจักรวาลหนึ่ง ไม่มี KYC ไม่มี AML และแทบไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐใดๆ เลย การออกคำสั่งของสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การคว่ำบาตรบริษัทหนึ่ง แต่เป็นการ ‘ตัดเส้นเลือดใหญ่ของทุนเทา’ ที่หล่อเลี้ยงอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชาและทั่วภูมิภาค
‘ดินแดนมืดของทุนเทา’ จากสีหนุวิลล์ถึงโบโกร์ เมืองที่ไม่เคยหลับ
หากจะมีจุดใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สะท้อน ‘โลกใต้ดินของทุนเทา’ ได้ชัดที่สุด คงหนีไม่พ้นชายฝั่งสีหนุวิลล์ และภูเขาโบโกร์ของกัมพูชา เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกโปรโมตว่าเป็น ‘ไข่มุกแห่งอ่าวไทย’ แต่วันนี้กลับกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เต็มไปด้วยคอมเพล็กซ์มืด คาสิโนร้าง และตึกสูงที่เปลี่ยนจากออฟฟิศท่องเที่ยวเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทจีนจำนวนมากแห่เข้ามาลงทุน โดยเฉพาะหลังจีนผลักดันโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ให้กัมพูชาเป็นฐานยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอและโควิด-19 ปิดประเทศ แรงงานจีนจำนวนมากตกงาน กลุ่มทุนเทาและขบวนการไซเบอร์จึงเข้ามาแทนที่
ตึกสูงที่เคยเป็นสำนักงานบริษัทท่องเที่ยวถูกดัดแปลงเป็นคอมเพล็กซ์คอลเซ็นเตอร์ โรงแรมร้างกลายเป็นศูนย์หลอกลวงออนไลน์ มีกำแพงสูง กล้องวงจรปิด และยามติดอาวุธ ภายในเต็มไปด้วยแรงงานจากหลายประเทศ ทั้งจีน ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม และในระยะหลัง ชาวเกาหลีใต้เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ที่พยายามหนีจะถูกทุบตีหรือขายต่อให้แก๊งอื่น บางคนถูกนำไปกักขังที่ภูเขาโบโกร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นักสิทธิมนุษยชนเรียกว่า ‘สามเหลี่ยมมืดของทุนเทา’เชื่อมระหว่าง ปอยเปต–โบโกร์–สีหนุวิลล์ โดยแต่ละเมืองทำหน้าที่ต่างกัน ปอยเปตคือจุดรับแรงงานและเงิน, โบโกร์คือศูนย์กักกัน ส่วนสีหนุวิลล์คือสำนักงานใหญ่ทางเทคโนโลยี และทั้งหมดเชื่อมต่อกันด้วยโครงข่ายเดียว คือ Huione Group
คดีนักศึกษาเกาหลีใต้ สู่การยกระดับมาตรการระดับชาติ
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา สื่อเกาหลีใต้หลายสำนักรายงานข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาหนุ่มวัย 22 ปีในกัมพูชา ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่า จากข่าวอาชญากรรมทั่วไป จะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ ‘ลุกขึ้นตอบโต้อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองในประเทศที่มีประชาชนเดินทางไปทำงานและท่องเที่ยวในกัมพูชามากกว่า 300,000 คนต่อปี
ประธานาธิบดี อี แจ-มยอง ถึงกับออกคำสั่งโดยตรงให้กระทรวงการต่างประเทศ ‘ยกระดับมาตรการทูตทุกช่องทาง’ เพื่อปกป้องพลเมืองเกาหลีใต้ในกัมพูชา พร้อมตั้งคณะทำงานฉุกเฉินที่มีทั้งหน่วยข่าวกรอง ตำรวจ และกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วม
“ความปลอดภัยของพลเมืองเกาหลีคือสิ่งสำคัญสูงสุด รัฐบาลจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ยังคงถูกกักขังอยู่ในกัมพูชา” ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระบุ
ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจยกระดับ ‘คำเตือนการเดินทาง’ ไปยังกัมพูชาเป็นระดับพิเศษ เทียบเท่า 2.5 จาก 4 ระดับ ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปกัมพูชาอย่างเด็ดขาด พร้อมเรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาเข้าพบเพื่อแสดง “ความกังวลสูงสุด” และเรียกร้องให้มีมาตรการป้องกันเชิงรุก
นอกจากนี้ เกาหลียังเสนอแนวคิดตั้ง ‘Korean Desk’ ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อให้เจ้าหน้าที่เกาหลีร่วมทำงานด้านการสืบสวนและช่วยเหลือผู้เสียหายโดยตรง
การตอบสนองของเกาหลีใต้ครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณสำคัญ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การปกป้องพลเมืองของตัวเองแต่คือการส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลพนมเปญ ว่าปัญหานี้ไม่อาจเพิกเฉยได้อีก เพราะในสายตาโลกตอนนี้ กัมพูชาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียง ‘จุดหมายปลายทางราคาถูก’ แต่คือ ‘ศูนย์กลางของทุนเทาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ ที่หลายประเทศเริ่มหมดความอดทน
เมื่อโลกเริ่มขยับ ถึงเวลาที่อาเซียนต้องมีคำตอบ
ในขณะที่สหรัฐฯ เดินหน้า ‘ตัดเส้นทางเงิน’ และเกาหลีใต้ ‘ยกระดับมาตรการทางการทูต’ โลกเริ่มจับตาดูว่า อาเซียนจะรับมือกับปรากฏการณ์ ‘ทุนเทา’ นี้อย่างไร
เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมา (2024–2025) อาเซียนจัดการประชุมรัฐมนตรีและผู้นำหลายครั้ง ตั้งแต่จาการ์ตา พนมเปญ ถึงบรูไน แต่ในถ้อยแถลงร่วม กลับแทบไม่เคยมีคำว่า ‘grey capital’, ‘cybercrime hubs’ หรือ ‘transnational scam syndicates’ ปรากฏอยู่เลย
สิ่งที่ถูกพูดถึงยังคงวนอยู่กับ ‘เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ’ และ ‘ความร่วมมือด้านดิจิทัล’ ขณะที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงรากของปัญหาที่กำลังกลืนภูมิภาคอยู่เงียบๆ ในทางกลับกัน สหรัฐฯ และเกาหลีใต้กลับใช้เหตุการณ์จริงในกัมพูชาเป็น ‘แรงขับเชิงนโยบาย’ ที่เปลี่ยนจากคำพูดเป็นการลงมือ
ประเทศหนึ่งตัดเส้นทางเงิน อีกประเทศปกป้องชีวิตคนของตัวเอง แต่สำหรับอาเซียน รวมถึงไทยเอง ซึ่งมีพรมแดนติดกัมพูชาโดยตรง ปัญหาคอลเซ็นเตอร์และทุนเทายังถูกพูดถึงในฐานะ “อาชญากรรมเฉพาะจุด” มากกว่าการมองเห็นว่า มันคือ ‘เครือข่ายระดับภูมิภาค’
ทั้งความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนปลายเดือนตุลาคมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าร่วมในฐานะ ‘ผู้สังเกตการณ์พิเศษ’
ดังนั้น คำถามคือ เมื่อโลกเริ่มพูดถึง ‘ทุนเทากัมพูชา’ ในฐานะภัยความมั่นคงระดับภูมิภาค อาเซียนจะยังเลือกเงียบเหมือนเดิม หรือจะกล้าพอที่จะเริ่มพูดถึง ‘ศัตรูในเงา’ ที่อยู่ในบ้านตัวเองเสียที
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในกัมพูชาลุกลามจนถูกมองว่าไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป มันคือเครือข่ายทุนเทาที่พาดผ่านพรมแดนและแทรกซึมอยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจของภูมิภาค
หากอาเซียนยังเลือกที่จะนิ่งต่อไป ปล่อยให้การหลอกลวง การฟอกเงิน และการค้ามนุษย์จะยิ่งฝังรากลึกจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบปกติ เมื่อนั้นอาเซียนอาจถูกตราหน้าว่าเป็น ‘พื้นที่สีเทาในสายตาโลก’ และคงถึงเวลาแล้วที่ผู้นำอาเซียนจะต้องช่วยกันตัดสินใจว่า จะให้ภูมิภาคนี้มีภาพลักษณ์แบบไหนกันแน่










