กทม.เตรียมแผนเผชิญเหตุ น้ำท่วมและภัยธรรมชาติ ด้าน กรมชลฯ สั่งเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง

กทม.เตรียมแผนเผชิญเหตุ น้ำท่วมและภัยธรรมชาติ ด้าน กรมชลฯ สั่งเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง

กทม. เตรียมความพร้อมแผนเผชิญเหตุน้ำท่วมและภัยธรรมชาติ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ หากเกิดฝนตกน้ำท่วม เพื่อลดระดับน้ำให้สู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด ขณะที่ กรมชลประทาน สั่งการชลประทานทั่วประเทศรับมือสถานการณ์น้ำ จากอิทธิพลพายุ ‘โกนเซิน’ เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง

วันที่ 12 ก.ย. 2564 พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมการจัดทำแผนเผชิญเหตุน้ำท่วมและภัยธรรมชาติของกรุงเทพมหานคร ว่า กรุงเทพมหานคร มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอันมีสาเหตุจากน้ำฝนน้ำหลากและน้ำหนุน โดยขีดความสามารถของระบบระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร สามารถรองรับปริมาณฝนตกสะสมใน 1 วันได้ไม่เกิน 80 มิลลิเมตร หรือปริมาณความเข้มฝนไม่เกิน 58.70 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง หากเกินกว่าปริมาณดังกล่าวก็จะเกิดปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ตามความรุนแรงปริมาณฝนที่เกิดขึ้น

ทาง กรุงเทพมหานคร ได้มีจัดเตรียมแผนเผชิญเหตุเมื่อเกิดน้ำท่วมในพื้นที่แล้ว โดยมีมาตรการต่างๆ ดังนี้ มาตรการก่อนเกิดภัย ติดตามสถานการณ์อุทกภัยเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และเตรียมพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวหากต้องมีการอพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วม มาตรการขณะเกิดภัย แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำท่วมและข้อปฏิบัติขณะเกิดเหตุให้แก่ประชาชนรับทราบและรับแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เพื่อลดระดับน้ำให้สู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่เร็ว (BEST) และหน่วยบริการประชาชนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการดำรงชีพแก่ประชาชนผู้ประสบภัย การอพยพ ช่วยอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคพื้นฐานและบริการด้านสาธารณสุข มาตรการฟื้นฟูบูรณะหลังเกิดเหตุ จัดตั้งหน่วยบรรเทาทุกข์เพื่อให้การช่วยเหลือบูรณะฟื้นฟูสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่เกี่ยวข้อง

สำหรับ การบูรณาการความร่วมมือการบริหารจัดการน้ำระหว่างกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรุงเทพมหานคร ได้มีการประชุมทุกสัปดาห์ร่วมกับคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานต่างๆ และอีกหลายหน่วยงาน ร่วมกันติดตามวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศ เพื่อเป็นข้อมูลในการสั่งการและสนับสนุนการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งบริเวณรอยต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล

กรุงเทพมหานคร ได้จัดประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกับจังหวัดปริมณฑลโดยรอบ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือและเตรียมการแก้ไขพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำท่วม ซึ่งมีการดำเนินการมาต่อเนื่องทุกปี

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกับกรมชลประทาน บูรณาการการบริหารจัดการน้ำร่วมกันและได้กำหนดเกณฑ์ค่าระดับและปริมาณน้ำที่ปล่อยเข้าสู่กรุงเทพมหานคร บริเวณรอยต่อระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดปริมณฑล เพื่อช่วยรองรับน้ำจากพื้นที่ตอนบน โดยไม่เกิดผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพมหานคร และระบายน้ำออกนอกพื้นที่ไม่ให้กระทบพื้นที่รอยต่อ เช่น สถานีสูบน้ำคลองหกวาสายล่าง ช่วงฤดูฝน จะเดินเครื่องสูบน้ำเมื่อค่าระดับน้ำภายในสูงเกินกว่า +0.90 ม.รทก. และจะหยุดเดินเครื่องสูบน้ำเมื่อค่าระดับน้ำภายนอกสูงถึง +1.70 ม.รทก.

ด้านการเตรียมความพร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับสถานการณ์น้ำหลากกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีแผนรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ 9 ขั้นตอน ประกอบด้วย

1. ติดตามสถานการณ์สภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาและจากเรดาร์ตรวจฝนของกรุงเทพมหานคร โดยศูนย์ป้องกันน้ำท่วม ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง

2. เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ตามจุดที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาน้ำท่วมให้เพียงพอและพร้อมใช้งานได้ทันที

3. ควบคุมและลดระดับน้ำในคลอง บ่อสูบน้ำและแก้มลิงให้อยู่ในระดับต่ำตามแผนฯ

4. เมื่อมีฝนตก ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม แจ้งเตือนสถานการณ์ฝนตกให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม ผ่านระบบวิทยุสื่อสาร Trunked Radio แจ้งเตือนสำนักงานเขตผ่านวิทยุสื่อสารเครือข่าย “อัมรินทร์” แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านกลุ่ม Line “เตือนภัยน้ำท่วม กทม.” (ปภ. ทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน)

5. ส่งหน่วยปฏิบัติการเร่งด่วน (BEST) ประจำจุดเสี่ยงและจุดสำคัญเมื่อคาดว่าจะมีฝนตกหนัก เพื่อเร่งระบายน้ำ และแก้ปัญหาด้านการการจราจร

6. หน่วยงานภาคสนามลงพื้นที่ตามจุดต่างๆ และรายงานสถานการณ์น้ำท่วมให้ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม ทราบ

7. ประสานงานขอการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกการจราจร การปิดเส้นทางน้ำท่วม / ทหาร ช่วยเหลือประชาชน หากมีระดับน้ำท่วมสูงรถเล็กไม่สามารถใช้เส้นทางผ่านได้ เป็นต้น

8. เร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจุดที่วิกฤติ โดยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำชนิดเคลื่อนที่ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม

9. ศูนย์ป้องกันน้ำท่วม รายงานสภาพฝน ปริมาณฝน พื้นที่น้ำท่วมขังเป็นระยะๆ และสรุปสถานการณ์เพื่อแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ผ่านหน่วยงานต่างๆและช่องทางโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน กรุงเทพมหานครจัดตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยมี ผอ.เขต เป็นผู้บัญชาเหตุการณ์

ขณะที่ นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน ได้กำชับไปยังโครงการชลประทานในพื้นที่เสี่ยง ให้ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำท่าอย่างใกล้ชิด พร้อมตรวจสอบอาคารชลประทานให้พร้อมใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ บริหารจัดการน้ำในอ่างฯ ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด พิจารณาปรับการระบายให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายอ่างฯ ที่สำคัญให้ทำการแจ้งเตือนก่อนการระบายน้ำทุกครั้ง เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายอ่างฯ ให้ได้มากที่สุด

รวมทั้ง มอบหมายเจ้าหน้าที่ประจำจุดเสี่ยง เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถแบคโฮ เข้าประจำจุดเสี่ยงพร้อมปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา หมั่นกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเพื่อให้การระบายน้ำทำได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อโครงการชลประทานใกล้บ้านทุกแห่ง หรือโทรสายด่วนกรมชลประทาน 1460 ได้ตลอดเวลา

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง