‘โลตัส’ (Lotus’s) ร้านค้าปลีกภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์ เตรียมออกหุ้นกู้ครั้งแรก ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3-4% ต่อปี โดยจะเสนอขายให้นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันในเดือน ต.ค.นี้
บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เจ้าของแบรนด์ศูนย์การค้า ‘โลตัส’ (Lotus’s) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกในเดือน ต.ค. 2565 รวมทั้งหมด 4 รุ่น คือ
1. รุ่นอายุ 1 ปี 6 เดือน (อัตราดอกเบี้ยรอประกาศ)
2. รุ่นอายุ 3 ปี ประมาณการช่วงอัตราดอกเบี้ยเบื้องต้น 3.00-3.25% ต่อปี
3. รุ่นอายุ 5 ปี ประมาณการช่วงอัตราดอกเบี้ยเบื้องต้น 3.30-3.55% ต่อปี
4. รุ่นอายุ 7 ปี ประมาณการช่วงอัตราดอกเบี้ยเบื้องต้น 3.75-4.00% ต่อปี
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน จะมีการประกาศภายหลังอีกครั้ง โดยอัตราดอกเบี้ยสุดท้ายที่ประกาศ จะเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ซึ่งบริษัทฯ จะจ่ายแก่ผู้ถือหน่วยทุกๆ 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายแก่นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันเท่านั้น ผ่านสถาบันการเงินที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย 8 แห่ง คือ
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน)
- บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จํากัด (มหาชน)
ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) โดยผู้ลงทุนที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้บนเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต.
‘สมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย’ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย เผยว่า การออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ เป็นโอกาสที่ดีของผู้ลงทุนที่จะได้ลงทุนในหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทฯ ที่มีโอกาสเติบโตอย่างมีศักยภาพ
จึงมั่นใจว่าหุ้นกู้ของโลตัสจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั้งรายใหญ่และสถาบัน ประกอบกับหุ้นกู้ที่จะออก ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ A+ เช่นเดียวกับบริษัทฯ ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ A+ ด้วยแนวโน้มเครดิต ‘คงที่’
โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของโลตัส ยังมีปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งจากการมีพื้นที่เช่าในทำเลที่ดี และลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
นอกจากนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้งในธุรกิจค้าปลีกและพื้นที่ให้เช่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ของโรคระบาดที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มฟื้นตัว
ปัจจุบัน โลตัสมีร้านค้าปลีกจำนวน 2,597 แห่งทั่วประเทศไทย ประกอบด้วย ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 224 แห่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต 202 แห่ง และมินิซูเปอร์มาร์เก็ต 2,171 แห่ง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า โดยมีพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า 201 แห่ง (ไม่รวมศูนย์การค้าที่มีการลงทุนโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าโลตัสส์ รีเทล โกรท หรือ LPF จำนวน 23 แห่ง) มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิถาวรรวมประมาณ 784,612 ตารางเมตร โดยมีร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตของโลตัสเป็นร้านค้าหลัก
ในจำนวนศูนย์การค้าทั้งหมด บริษัทฯ ถือกรรมสิทธิ์ (Freehold) ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าจำนวน 69 แห่ง ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของศูนย์การค้าอยู่ที่ประมาณ 89%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังถือหน่วยลงทุน 25% ในกองทุนรวม LPF ที่ลงทุนในศูนย์การค้า 23 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่าสุทธิถาวรรวมประมาณ 339,000 ตารางเมตร
ส่วนผลประกอบการในปี 2563 (ระหว่าง 1 มี.ค. 2563 – 28 ก.พ. 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 174,932 ล้านบาท ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2564 (ระหว่าง 1 มี.ค. – 31 ธ.ค. 2564) บริษัทฯ มีรายได้รวม 143,854 ล้านบาท
และจากผลประกอบล่าสุดครึ่งปีแรกของปี 2565 (สิ้นสุด 30 มิ.ย. 2565) บริษัทฯ มีรายได้รวม 91,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 85,114 ล้านบาท










