หลังจากปล่อยทีเซอร์ให้แฟนๆ ได้ฮือฮาไปก่อนหน้านี้ กับพลิกบทบาทอันน่าทึ่งของ ‘ฮันโซฮี‘ กับฉากต่อสู้บู๊สนั่น ตลอดจนคาแรกเตอร์ตัวละครที่มีความหลากหลาย ล่าสุดก็ไม่ปล่อยให้แฟนๆ รอคอยกันนานกับซีรีส์ ‘My Name’ ซีรีส์แนวแอคชั่น–นัวร์

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา Netflix ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวซีรีส์ ‘My Name’ ซีรีส์แนวแอคชั่น–นัวร์ที่ได้ ‘ฮันโซฮี’ เจ้าของบทบาท ‘นาบี’ จากเรื่อง Navertheless มาพลิกบทบาทเล่นแนวแอคชั่นเป็นครั้งแรก
แน่นอนว่า workpointTODAY PLAY ไม่พลาดที่จะหยิบ บทสัมภาษณ์จากงานแถลงข่าวของ ทีมนักแสดงนำ ฮันโซฮี, พัคฮีซุน, คิมซังโฮ, อันโบฮยอน, อีฮักจู และจางรยูล รวมถึงผู้กำกับ คิมจินมิน ที่มาเล่าถึงเบื้องหลังการทำงาน เเละความพิเศษของซีรีส์เรื่องนี้ ก่อนไปชม ‘My Name’ กันเเบบเต็มๆ วันที่ 15 ต.ค.นี้

My Name เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
ผู้กำกับ: เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแก้แค้นของคนคนหนึ่งครับ เป็นผลงานแอ็คชั่นที่ตัวละครหญิง ซึ่งรับบทโดยฮันโซฮี เผชิญหน้าและต่อสู้กับคนหลายคนเพื่อแก้แค้นและตามหาตัวตนของเธอเอง
รู้สึกอย่างไรหลังได้อ่านบท
ฮันโซฮี: ตอนอ่านบทรู้สึกได้ถึงการอยากแก้แค้นค่ะ ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวที่เป็นแรงผลักดันให้ตัวละครสู้ต่อไปอย่างที่ผู้กำกับได้เกริ่นไว้ การถ่ายทอดอารมณ์ทางร่างกายอย่างแนวแอ็คชั่นเป็นแนวที่ฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน พอได้อ่านบทเลยคิดว่าอยากลองดูค่ะ
พัคฮีซุน: ปกติถ้าพูดถึงผลงานแนวฟิล์มนัวร์ เราจะนึกถึงผลงานที่โหดและเยือกเย็น แต่สิ่งแปลกใหม่ที่ผมรู้สึกตอนอ่านบทเรื่องนี้ คือการวางตัวละครหลักที่เป็นผู้หญิง ทั้งอารมณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมา รวมถึงความขัดแย้งระหว่างเธอและตัวละครอื่นๆ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้น่าสนใจและต่างจากผลงานแนวดาร์กเรื่องอื่นๆ ทั้งยังได้ผู้กำกับคิมจินมิน เจ้าของผลงานเรื่อง Extracurricular มาร่วมกำกับแล้วด้วย ยิ่งทำให้อุ่นใจ หลังจากอ่านบทแค่ครั้งเดียวก็ตัดสินใจที่จะร่วมงานด้วยครับ
อันโบฮยอน: ผมเองก็ชอบซีรีส์ของ Netflix เรื่อง Extracurricular มาก กลายเป็นแฟนคลับของผู้กำกับคิมจินมินเลยครับ และอยากลองร่วมงานกับผู้กำกับสักครั้ง พอได้รับบทก็รีบอ่านดู อ่านแล้วเพลินวางไม่ลงเลยครับ ผมอยากลองเล่นแนวแอ็คชั่นหรือนัวร์อยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้เจอผลงานที่ใช่ เลยเตรียมตัวอย่างเต็มที่ครับ

ฮันโซฮี รับบท ยุนจีอูและโอฮเยจิน
แนะนำตัวละครยุนจีอูและโอฮเยจิน
ฮันโซฮี: อย่างที่ได้ชมในตัวอย่างอย่างเป็นทางการ จีอูยอมทิ้งทั้งอนาคตและชื่อตัวเองเพื่อล้างแค้น การที่ต้องสูญเสียพ่อไปตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้การแก้แค้นเป็นเป้าหมายอย่างเดียวในชีวิตของเธอ ถึงจะดูเศร้าและน่าสงสาร แต่ฉันคิดว่าการเดินหน้าสู้ไปเพื่อบรรลุเป้าหมายทำให้จีอูเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งค่ะ
ความแตกต่างระหว่างจีอูและโอฮเยจิน
ฮันโซฮี: จีอูเป็นตัวละครที่มีมิติเดียว มีเป้าหมายเดียวคือการแค้นและพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเมื่อ แต่ฮเยจินจะมีความละเอียดอ่อนกว่า แก้แค้นแบบมีชั้นเชิงและมีเหตุมีผลมากกว่าค่ะ
แนะนำตัวละครชเวมูจิน
พัคฮีซุน: มูจินเป็นหัวหน้าแก๊งค้ายาที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ เป็นบอสของแก๊งดงชอนและเป็นเจ้าของโรงแรม เขารับลูกสาวของเพื่อนสนิทที่ต้องการแก้แค้นให้พ่อที่เสียชีวิตไปเข้าแก๊งเพื่อช่วยเหลือเธอ และสั่งให้เธอแทรกซึมเป็นพวกเดียวกับตำรวจ ถ้าเขาไว้ใจใครแล้ว เขาจะเชื่อใจเต็มที่ แต่จะไม่ยอมอภัยถ้าคนนั้นทำผิดพลาด เป็นตัวละครที่เยือกเย็นแต่มีเสน่ห์มากครับ ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์และความขรึมของตัวละครอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำอะไร ต้องขอบคุณทีมงานช่างแต่งหน้าและคอสตูมที่ช่วยให้สื่อลุคของบอสได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แนะนำตัวละครจอนพิลโด
อันโบฮยอน: พิลโดเป็นมือหนึ่งของหน่วยปรามปรามแก๊งค้ายา ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อจับแก๊งค้ายาให้ได้ ระหว่างนั้นเขาได้เจอกับจีอู เป็นตัวละครที่ไม่สามารถโน้มน้าวจีอูได้ ต้องรอชมแล้วจะทราบครับ ด้วยความที่ตัวละครเป็นมือหนึ่งที่ต้องเก่งทุกด้านโดยเฉพาะการต่อสู้ ผมต้องฝึกการต่อสู้หนักพอสมควรครับ ไม่ใช่แค่ผม แต่นักแสดงคนอื่นๆ ก็เข้าคลาสการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน ผมอยากแสดงให้เห็นลุคของตำรวจนักสืบที่ดูน่าเกรงขาม เลยตั้งใจออกกำลังกายและเพิ่มน้ำหนักด้วยครับ
แนะนำตัวละครชากีโฮ
คิมซังโฮ: กีโฮเป็นหัวหน้าหน่วยปราบปรามแก๊งค้ายาเสพติด ตำรวจที่ล่าแก๊งค้ายาส่วนใหญ่ต้องใช้ทั้งกำลังและกลอุบายต่างๆ เพื่อจับผู้ร้าย แต่บทของผมเป็นหัวหน้าที่ใช้การต่อสู้ทางสมองและความคิด นั่งเฉยๆ ไม่มีฉากแอ็คชั่นเหมือนนักแสดงคนอื่นๆ ครับ
แนะนำตัวละครจองแทจู
อีฮักจู: แทจูเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์และคอยรับใช้บอสอย่างเขร่งขรึม ไม่ว่าจะเป็นงานไหนก็พยายามสุดความสามารถ ถึงจะเป็นตัวละครที่เงียบขรึม แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่หลากหลายด้วยครับ
แนะนำตัวละครโดคังแจ
จางรยูล: คังแจเป็นน้องเล็กของแก๊งดงชอน เขาอยากได้รับคำชมจากพี่ๆ ในแก๊ง มีความโลภ แอบวางก้ามอยากเป็นใหญ่ แต่อีกมุมก็เหมือนเด็กเล็กๆ ที่ทำเพราะอยากเท่เหมือนรุ่นพี่ในแก๊งคนอื่นๆ ปกติผมเป็นคนผอมอยู่แล้ว จะลดน้ำหนักถือเป็นเรื่องยากทีเดียว แต่ตอนที่ได้อ่านบท ตัวละครโดคังแจที่ผมจินตนาการต่างกับตัวจริงของผมในตอนนั้นมาก ผมอยากให้ดูเฉียบคมมากขึ้น เลยตั้งใจลดน้ำหนักครับ

ความรู้สึกที่ได้แสดงบทแอ็คชั่นครั้งแรก
ฮันโซฮี: ตอนที่ลองเข้าคลาสเรียนการต่อสู้ครั้งแรก คิดว่าลำบากแน่ๆ คงจะต้องทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมมากๆ ด้วยความที่เป็นครั้งแรก และไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว แต่มันเป็นการแสดงการเคลื่อนไหวที่ต้องแสดงร่วมกับคนอื่นๆ ค่อนข้างหนักใจเหมือนกันค่ะ ไหนจะกังวลว่าจะได้รับบาดเจ็บอีก กลัวว่านักแสดงคนอื่นจะบาดเจ็บเพราะประสบการณ์อันน้อยนิดของตัวฉันเองด้วย ในบรรดาอาวุธที่ต้องใช้มือจับ กระบองเป็นอาวุธที่นิ่มสุดค่ะ เพราะเป็นกระบองยางที่ทำเลียนแบบของจริง เวลาใช้ก็เลยไม่ค่อยกังวล อีกอย่างตอนเรียนคลาสการต่อสู้ได้เรียนท่าที่ใช้กระบองเยอะเป็นพิเศษด้วย เลยทำให้รู้สึกมั่นใจในการใช้กระบองมากกว่าอย่างอื่นค่ะ
เตรียมตัวก่อนการถ่ายทำอย่างไรบ้าง
พัคฮีซุน: นักแสดงทุกคนมีฉากแอ็คชั่นเยอะมาก ยกเว้นคิมซังโฮ ผมและนักแสดงชายอีกสามคนเข้าคลาสเรียนการต่อสู้ก่อนถ่ายทำสองเดือน แต่ฮันโซฮีเริ่มก่อนพวกเรา ฝึกอยู่เกือบสามเดือนก่อนถ่ายทำจริง
อันโบฮยอน: ผมอัดคลิปวิดีโอตอนเรียนศิลปะการต่อสู้ไว้ และแชร์ให้นักแสดงคนอื่นดูด้วย เพราะว่ามันเป็นซีนที่เราต่อสู้ ต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกัน จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ผมว่าการที่ได้ฝึกซ้อมด้วยกันเป็นเวลาร่วมสองเดือนก่อนถ่ายทำ ทำให้เราสนิทกันและทำให้บรรยากาศกองถ่ายเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครับ

ช่วยบอกคำนิยามของคำว่า “แอ็คชั่น” ในเรื่อง My Name
ฮันโซฮี: “แอ็คชั่นที่เดิมพันด้วยชีวิต” เพราะในเรื่องมีฉากแอ็คชั่นที่ดูสิ้นหวัง มีฉากที่สู้เพื่อป้องการตัวเองและเอาตัวรอดเยอะค่ะ
พัคฮีซุน: การต่อสู้ของพวกเราไม่ได้ใช้สายสลิงหรือ CG ใดๆ เป็นแอ็คชั่นที่ใช้ร่างกายปะทะร่างกายเน้นๆ ขอเรียกว่า “แอ็คชั่นสะเทือนอารมณ์ เรียลแอ็คชั่น” แล้วกันครับ
อันโบฮยอน: “แอ็คชั่นปืนไฟ” เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากครับ กะพริบตาแล้วลืมตามาอีกทีก็จะเห็นคนลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว ต้องลืมตากว้างๆ ตอนดูนะครับ
คิมซังโฮ: ตัวผมเองไม่มีฉากแอ็คชั่น แต่ขอเรียกว่าเป็น “แอ็กชั่นสุดประทับใจ” แล้วกันครับ เพราะได้ดูคลิปที่ฮันโซฮีแสดงฉากต่อสู้แล้วรู้สึกประทับใจและภูมิใจมาก
อีฮักจู: “แอ็คชั่นที่ต้องพึ่งพาตัวเอง” ครับ เพราะตัวละครแต่ละตัวต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด
จางรยูล: “VR แอ็คชั่น” ครับ เพราะให้ความรู้สึกสมจริงเหมือนกับต่อสู้เองอยู่ในฉากด้วยกันครับ
ผู้กำกับ: สำหรับผมเป็น “แอ็คชั่นแห่งการขอบคุณ” ครับ เพราะผมอยากจะแสดงความขอบคุณไปยังเหล่านักแสดง โดยเฉพาะโปรดิวเซอร์ควบคุมการแสดงศิลปะการต่อสู้จาก Seoul Action School พวกเขาทำงานหนักมาก เพราะพวกเขาทำให้นักแสดงของเรารู้สึกอุ่นใจ ฉากต่อสู้ 99% มาจากการแสดงของเหล่านักแสดง บวกกับอีก 1% จากความรับผิดชอบและความไว้วางใจในตัวผู้ฝึก นักแสดงของเราเองก็ฝึกซ้อมอย่างหนักมาก ผมคิดว่าถ้าผมไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดี ผมคงเป็นผู้กำกับที่แย่มากแน่ๆ ศิลปะการต่อสู้ที่นักแสดงถ่ายทอดให้เห็นในเรื่องนี้ถือว่าเหนือความสามารถของคนธรรมดาที่ไม่ใช่นักกีฬาหรือมีพื้นฐานมาก่อน ในเวลาระยะสั้นแต่ทำได้ขนาดนี้ถือว่าน่าทึ่งมาก ผมอยากขอบคุณพวกเขาทุกคนครับ

ช่วยเล่าถึงถึงทีมเวิร์คของแก๊งและทีมตัวเองในเรื่อง
พัคฮีซุน: เราฝึกศิลปะการต่อสู้ก่อนเปิดกล้องจริงประมาณสองสามเดือน ทำให้ค่อนข้างสนิทกัน คอยถามสุขทุกข์ซึ่งกันและกันอยู่ตลอด มีใครบาดเจ็บตรงไหนไหม อย่างฮักจู มีนิสัยค่อนข้างสนิทกับคนยาก แต่พอสนิทแล้วเขาเป็นคนสนุกสนาน มีมุขฮา ส่วนจางรยูล เรียกว่าเป็นม้ามืดก็ได้ครับ ผมว่าเขาน่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากจากบทละครที่ได้รับในเรื่องนี้ครับ
คิมซังโฮ: ผมอิจฉาแก๊งดงชอนมากกว่าครับ เพราะผมถ่ายแต่ในออฟฟิศ
ข้อแตกต่างระหว่างดงชอนและทีมจับแก๊งค้ายา
ฮันโซฮี: น่าจะเป็นเรื่องรูปแบบของแอ็คชั่นนะคะ การต่อสู้โดยเน้นใช้สติปัญญาของหัวหน้าทีมตำรวจ กับแก๊งมาเฟียที่มีการต่อสู้จริง เจ็บตัวเสียเลือดจริง
ทีมเวิร์คของทีมไหนดีกว่า
ผู้กำกับ: ยังไงแก๊งดงชอนก็เป็นคนเลว ทีมตำรวจสืบสวนทำงานหนักแทบตาย แต่แก๊งค้ายากลับหาเงินได้มากว่า ระหว่างถ่ายทำพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจับแก๊งยาเสพติดตัวจริง ในทีมมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงเหมือนโอฮเยจินในเรื่อง ตอนแคสต์นักแสดงผมเลยอิงจากสมาชิกในทีมจริงเป็นหลัก จากคอนเซปต์ของผลงานก่อนๆ จะเห็นว่า คนเลวก็ไม่ใช่เลวไปเสียหมด คนดีเองก็ไม่ได้ดีไปทุกอย่าง แต่ในเรื่องนี้บ่งบอกชัดเจนว่า คนดีคือคนดี คนชั่วยังไงก็คือคนชั่ว บทบาทของนักแสดงที่รับบทหัวหน้าทีมตำรวจและหัวหน้าแก๊งมาเฟียนั้นสำคัญมาก เมื่อได้นักแสดงที่มากประสบการณ์มารับบทเป็นหัวหน้า ก็ยิ่งทำให้ตัวละครลูกน้องในทีมสบายไปด้วย ยังไงทีมเวิร์คก็ต้องดีมากอยู่แล้ว ตอนถ่ายทำผมแทบจะไม่กังวลเลย ต้องขอบคุณทั้งพัคฮีซุนและคิมซังโฮมากครับ

แรงจูงใจในการสร้างผลงานเรื่องนี้
ผู้กำกับ: ด้วยบทประพันธ์ที่ลึกซึ้ง ตัวละครหลักที่มีความแตกต่าง รวมถึงตัวละครที่รายล้อมตัวละครหลัก ถ้าผมได้มีโอกาสทำให้ตัวละครนั้นเป็นจริงขึ้นมาผ่านบทบาทของนักแสดงต่างๆ ผลงานชิ้นนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งผลงานที่คุ้มค่า ประกอบกับอยากที่จะสร้างผลงานแอ็คชั่นอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ในขณะที่ร่างกายยังรับไหว ครั้งแรกที่เจอฮันโซฮี ผมบอกเลยถ้าไม่ฝึกซ้อมก็อย่ารับเลย ถ้ารับปากว่าจะฝึกซ้อมค่อยมาร่วมงานกัน เธอก็รับปากเพราะอยากร่วมงานด้วยจริงๆ และขอให้ผมลองเชื่อใจเธอ ผมก็เริ่มต้นด้วยการเชื่อใจเธอ หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวฮันโซฮีแล้ว ด้วยสัญญาและความรับผิดชอบของตัวนักแสดงทำให้ผลงานสำเร็จออกมาได้ด้วยดีครับ
ภาพลักษณ์ของฮันโซฮีไม่น่าเหมาะกับบทแอ็คชั่นเลย ทำไมถึงเลือกฮันโซฮีเป็นนักแสดงนำ
ผู้กำกับ: ผมคิดว่าหน้าตาและรูปลักษณ์ของนักแสดงส่งผลให้มีข้อจำกัดในการรับบท แต่ผมคิดว่าในข้อจำกัดมักมีความเป็นไปได้เสมอ นักแสดงที่ทำลายข้อจำกัดเหล่านั้นได้ถึงจะพบความเป็นไปได้ ทันทีที่ผมเจอฮันโซฮี ผมถามแค่สองอย่าง อยากเล่นหรือไม่ กับจะฝึกซ้อมหรือไม่ ฮันโซฮีตอบผมอย่างไม่ลังเลเลยว่าอยากรับบทนี้ ผมคิดว่าคงเป็นโอกาสดีที่นักแสดงที่เคยรับบทสาวสวยๆ จะได้พลิกมาลองผลงานแนวแอ็คชั่น โชคดีของเธออีกอย่างที่ได้โปรดิวเซอร์ที่ดูแลด้านศิลปะการต่อสู้ และทีมนักแสดงร่วมที่มากความสามารถ ทำให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น
มีการศึกษาจากผลงานอื่นอย่างไรบ้างเพื่อเตรียมตัวถ่ายซีรีส์
ฮันโซฮี: โปรดิวเซอร์ด้านศิลปะการต่อสู้แนะนำให้ดูสไตล์การต่อสู้ในเรื่อง Atomic Blonde ซึ่งเป็นแบบนี้ในสไตล์ long take กับเรื่อง The Old Guard และผลงานแอ็คชั่นอื่นๆ ที่มีตัวละครนำเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะต่อสู้โดยใช้มือเปล่า หรืออาวุธต่างๆ ค่ะ

ฝากถึงแฟนๆ Netflix ทั่วโลก
ฮันโซฮี: ยินดีที่ได้มีโอกาสแนะนำซีรีส์ให้กับทุกๆ ท่านผ่านงานแถลงข่าวในวันนี้ค่ะ ฝากติดตามชมกันเยอะๆ นะคะ แล้วเจอกันวันที่ 15 ตุลาคมนี้ทาง Netflix ค่ะ
พัคฮีซุน: ซีรีส์เรื่องนี้มีทั้งฮันโซฮีเป็นนักแสดงนำ และคิมซังโฮ เทพฯ แห่ง Netflix รับรองว่าสนุกแน่ครับ อดใจรออีกนิดนึง แล้วพบกันวันที่ 15 ตุลาคมนี้ครับ
อันโบฮยอน: ซีรีส์ของเราเป็นผลงานแนวแอ็คชั่นที่ไม่เหมือนใคร นักแสดงและทีมงานทุกคนตั้งใจกันมาก รอติดตามกันด้วยนะครับ
คิมซังโฮ: พบกัน 15 ตุลาคมนี้ทาง Netflix ครับ
อีฮักจู: พวกเราถ่ายทำกันอย่างสนุกสนานมากครับ แล้วเจอกันทาง Netflix วันที่ 15 ตุลาคมนี้ครับ
จางรยูล: พวกเราตั้งใจถ่ายทำกันมากครับ เจอกันวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ทาง Netflix เท่านั้น
ผู้กำกับ: พวกเราถ่ายทำสำเร็จได้อย่างราบรื่นเพราะแรงสนับสนุนจากทุกคน ขอบคุณจากใจ แล้วพบกับ My Name ทาง Netflix เท่านั้นครับ! Only on Netflix!

My Name เป็นซีรีส์แนวแอคชั่น–นัวร์ เล่าเรื่องราวของ “จีอู” หญิงสาวที่ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับแก๊งอาชญากรสุดอันตรายเพื่อตามล่าหาคนที่ฆ่าพ่อของเธอ ทำให้เธอจำเป็นต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริงและใช้ชื่อใหม่เพื่อปลอมตัวเข้าไปทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนำไปสู่การค้นพบความจริงที่แสนโหดร้ายในระหว่างการหาทางล้างแค้นให้พ่อของเธอ รับชมได้วันที่ 15 ต.ค.นี้ ทาง Netflix










