หนังสือมีตัวละคร ให้ทดลองเกลียด คุยกับ ลาดิด (LADYS) นักเขียนวรรณกรรมเควียร์

หนังสือมีตัวละคร ให้ทดลองเกลียด คุยกับ ลาดิด (LADYS) นักเขียนวรรณกรรมเควียร์

“เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยอ่านหนังสือกันแล้ว” ประโยคนี้อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป เมื่อจำนวนคนไปร่วมงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และหอบหนังสือกลับบ้านเป็นลังๆ ยังคงมีให้เห็นอยู่ทุกปี แต่ที่น่าคิดคือ ประเภทของหนังสือ อาจเปลี่ยนไปตามเทรนด์ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน

 

สำนักข่าว TODAY มีโอกาสพูดคุยกับ ลาดิด (LADYS) นักเขียนวรรณกรรมเควียร์ เพื่อคลายข้อสงสัยที่ว่า วรรณกรรมไทยกลับมาฮิตอีกครั้ง จริงหรือไม่ และจะทำอย่างไรให้คอมมูนิตี้นี้ หล่อเลี้ยงนักเขียนและวงการหนังสือให้เติบโตไปด้วยกันได้

 

นิยาม ‘เควียร์’ อาจไม่สำคัญเสมอไป

ก่อนไปถึงเรื่องของวรรณกรรมไทย เรามารู้จักกับนิยามคำว่า ‘เควียร์’ (Queer) กันก่อน ตามนิยามของนักเขียนวรรณกรรมเควียร์รายนี้ ลาดิด ยอมรับว่า คำดังกล่าวนี้ ความหมายยังคงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่เคยหยุดนิ่ง ในสมัยอดีต เคยนำมาใช้นิยามอะไรก็ตามที่มีลักษณะที่ แปลก หรือ ประหลาด และเคยใช้ในทางเหยียดเพศ  

ปัจจุบันกลายเป็นคำที่ใช้เรียก อัตลักษณ์ หรือ มิติทางเพศของคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความหลากหลาย มากกว่าแค่หญิงหรือชาย ทว่าในอนาคต ความหมายของคำนี้อาจจะเปลี่ยนไปอีก ดังนั้นการหาคำจำกัดความของคำนี้อย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด

“คำนิยามมันตามหลังสำนึก สำนึกมันมาก่อน และสิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ มนุษย์ไม่มีทางคิดค้นหาคำนิยามได้ครบถ้วน สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ เราเป็นพวกเชื่อในความปัจเจก Non-binary คนนี้ไม่ได้เหมือนกับ Non-binary คนหนึ่ง เพราะงั้นเราเชื่อว่า ให้ตายยังไงคำนิยามก็ไม่มีทางครอบคลุมได้ทุกคนอยู่แล้ว” 

ถึงตอนนี้ ลาดิด มองว่า การคิดหาคำนิยามไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา คือการที่คนในสังคมไม่รู้ ว่าคำนิยามที่มีอยู่ ไม่มากพอสำหรับคนอื่นๆ และพยายามที่จะยัดคำนิยามที่ตัวเองมีใส่หน้าอีกคน

“การรู้ว่า Non-binary แปลว่าอะไร ไม่ได้แปลว่าคุณเข้าใจความเป็น Non-binary นั้นจริง ๆ เราว่ามันมีวิธีที่ง่ายกว่า แล้วก็สำคัญกว่า ก็คือการเข้าใจกับตัวเองว่า เราไม่มีทางรู้มิติทางเพศของคนที่อยู่ตรงข้ามเรา หรือใครก็ตามในห้องนี้ เรารู้สึกว่าการเข้าใจว่า สิ่งนี้มันเหนือไปจากปัญญาของเรา อาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการท่องศัพท์ และใช้อย่างถูกต้องด้วยซ้ำ มีวิธีการที่เราไม่ใช้ผิด คือการที่เราไม่ใช้ ถ้าไม่รู้”

ลาดิด ให้คำแนะนำว่า ไม่จำเป็นต้องให้คำนิยามทางเพศ หรือต้องทราบว่า บุคคลที่เราพูดคุยอยู่ด้วยมีรสนิยมทางเพศแบบใด “การเป็นเพศใดก็ตาม มันไม่ได้มีผลต่อการที่เราจะปฏิบัติต่อคนๆ นั้น มันก็ไม่จำเป็นต้องรู้”

 

จากนักศึกษาแพทย์ปี 5 สู่นักเขียนวรรณกรรมเควียร์

อาจไม่ทั้งคนที่รู้และไม่รู้ว่า ลาดิด ตัดสินใจลาออกจากการเป็นนักศึกษาแพทย์ เพื่อเริ่มต้นเดินทางบนถนนสายนักเขียนเต็มตัว ก่อนจะได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะสายงานไหน สิ่งหนึ่งที่เธอยังต้องการ คือ  ‘ความมั่นคง’ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘เงินเดือน’ 

เธอจึงตัดสินใจเปิดสำนักพิมพ์ ลาดิดและมูนสเคป (Ladys & Moonscape) เพื่อทำให้เส้นทางการเป็นนักเขียนของเธอ ยังคงมั่นคงทางการเงิน 

ระหว่างทาง ลาดิด ต้องเผชิญกับรอยร้าวกับคนในบ้านอยู่เป็นปี เพราะการตัดสินใจหันหลังให้การเป็นหมอที่ดูมั่นคงมากกว่า ก่อนที่เวลาและการพิสูจน์ตัวผ่านผลงาน จะทำให้ความสัมพันธ์ของเธอและครอบครัวก็ค่อยๆ ดีขึ้น และยอมรับในเส้นทางที่เธอเลือกได้ในที่สุด

วรรณกรรมเควียร์ ที่เขียนโดยชาวเควียร์เอง

ย้อนกลับไป วรรณกรรมเควียร์ หรือที่หลายคนคุ้นหูกันว่า ‘นิยายวาย’ นั้น ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จัก เขียนโดยกลุ่มนักเขียนที่ไม่ได้เป็นเควียร์เสียด้วยซ้ำ ก่อนที่จะหลากหลายมากขึ้นในเวลาต่อมา  

ลาดิด ย้ำว่า ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนเพศอะไร ย่อมต้องได้รับคำวิจารณ์จากผู้อ่าน ซึ่งในที่นี้หากผู้อ่านเป็นชาวเควียร์ ที่แสดงความคิดเห็นว่า ในเนื้อเรื่องที่เธอเขียนอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง เธอก็ต้องยอมรับ ทั้งที่อาจจะไม่ถูกเสียทีเดียว

“ความรู้สึกที่ว่า สิ่งที่เห็นอยู่ในนิยาย มันไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงของคอมมูนิตี้ มันก็อาจจะไม่ได้ถูกเสมอไป เพราะว่าคนที่เป็นเควียร์ ก็ไม่ได้มีลักษณะที่เหมือนกัน และบางอย่างที่เราคิดว่ามันไม่ใช่ แต่ความจริงมันอาจจะใช่ เควียร์บางคนอาจจะรู้สึกว่า อันที่เขานำเสนอมามันก็ตรงกับคู่เรานี่ เพราะฉะนั้น เราไม่เชื่อว่ามันจะไม่ตรงไปเลย 100% มันจะต้องมีคนที่รู้สึกเชื่อมโยงได้อยู่แล้ว”

ถึงตอนนี้ ไม่ได้มีตัวเลขออกมาชัดเจนว่า นักเขียนนิยายเควียร์ มีแนวโน้มเป็นชาวเควียร์เพิ่มมากขึ้นหรือไม่ ทว่า หากเพิ่มขึ้นจริง ผลดีก็จะตกที่ผู้อ่าน ที่จะมีโอกาสเสพผลงานที่หลากหลายขึ้น

“นิยายเควียร์ทุกวันนี้ โดนเขียนโดยคนในคอมมูนิตี้มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนคือ ความหลากหลายที่เพิ่มขึ้น จากสายตาที่ส่วนใหญ่เป็น Straight กลายเป็นสายตาที่มีเควียร์เข้ามาร่วมวงด้วย มันก็เพิ่มความหลากหลายของคนเขียน”

ลาดิด มองว่า ประเด็นที่อาจจะชัดเจนขึ้นมากที่สุดคือ การได้พูดถึงปัญหาอะไรตาม ที่อาจจะไม่มีวันรู้ ถ้าไม่ได้สวมรองเท้า และเนื้อหนังของคนที่ไม่ได้ตรงมาตรฐานทางสังคม นี่แหละที่อาจเด่นชัดขึ้น

“ถ้าเจ้าของอัตลักษณ์ไม่ว่าเควียร์แง่ใดก็ตามเป็นคนเขียน ไม่ว่าจะเควียร์ด้านร่างกาย เพศ สังคม การเมือง อะไรก็ตาม คนที่เป็นเจ้าของปัญหาเป็นคนเขียน มันก็จะโดนเขียนออกมาได้เยอะขึ้น เรารู้สึกว่ามันก็คงหลากหลายขึ้นเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าดีขึ้นหรือแย่ลง”

 

คิดอย่างไรกับการที่ในไทยมีซีรีส์ BL และ GL เยอะขึ้น?

ลาดิด มองว่า ปัจจุบันการที่มีซีรีส์ BL (Boys Love) และ GL (Girls Love) มากขึ้น เป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภคเท่านั้น จากเดิมที่การรับรู้เรื่องรสนิยมทางเพศของคนไทย อาจจำกัดแค่ชายหญิง แต่ก็มีเรื่องที่ต้องคิดต่ออยู่เหมือนกัน

“ในโลกทุนนิยม คนที่เขาผลิตซีรีส์ เขาก็ทำธุรกิจเนาะ เพราะฉะนั้นเขาก็จะขายเฉพาะของที่มันขายได้ และของที่ขายได้ในโลกทุนนิยม มักจะเป็นของที่มีรูปลักษณ์คล้ายๆ กัน ขายได้ ขายซ้ำ ขายอีก ขายตลอดไปจนกว่ามันจะขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นอะไรขายได้ก็จะขายต่อ อะไรขายไม่ได้ก็จะโดนทำให้หายไป”

ทั้งที่ อัตลักษณ์ทางเพศของคน มีความซีบซ้อนกว่านั้นมาก

“การที่สื่อผลิตภาพบางอย่างซ้ำๆ มันไม่ได้สะท้อนภาพอะไรเลยของสังคมโดยรวม  มันไม่ได้บอกด้วยว่าเกย์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ เลสเบี้ยนส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ ประเด็นคือพอคนดู ดูไป อาจจะเกิดคิดขึ้นไปเองว่ามันจะเป็นแบบนี้ เพราะว่าเห็นบ่อยเหลือเกิน”

เช่นนี้ ในฐานะคนดู ก็จำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่า หนังกับเรื่องจริงมันคนละโลกกัน แม้หนังจะผลิตภาพซ้ำๆ แต่ชีวิตจริงมันก็ไม่ได้มีแค่ภาพซ้ำๆ แบบนั้นอย่างเดียว

 

‘วรรณกรรมไทย’ กลับมาเป็นที่นิยมจริงหรือไม่

วกกลับมาที่แวดวงวรรณกรรม ลาดิด เอ่ยถึงกระแสความนิยมที่มีมากขึ้น แม้ว่าเธอจะเริ่มเข้ามาในวงการเพียง 3-4 ปี  แต่ก็สังเกตเห็นหลายเรื่องที่น่าสนใจ

ผู้อ่านตามหาหนังสือวรรณกรรมที่ขายไปหมดแล้วเพิ่มมากขึ้น… สำนักพิมพ์ในไทย เปิดรับต้นฉบับนักเขียนไทยเพิ่ม…ในฐานะนักเขียน มองผิวเผินอาจรู้สึกดี แต่ในทางกลับกัน ร้านหนังสืออิสระมีน้อยลงในปัจจุบัน ร้านหนังสือใหญ่ก็ปิดตัวลง

“เรารู้สึกว่าบางทีมันอาจจะไม่ได้บอกว่า นักเขียนไทยขายได้ดีปุ๊บ แล้วคนไทยที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ทุกคนจะไปข้างหน้าด้วยกัน อาจจะยังไม่ใช่ ซึ่งก็รอดูต่อไป แต่ภาพรวม รู้สึกว่ามันก็ดูเปลี่ยนไปในทางบวกนะ ถ้าดูจากงานหนังสือครั้งที่ผ่านมา แต่เราไม่ชอบดูอะไรครั้งเดียว ขอดูต่ออีกนิดนึง แต่จริง ๆ การที่สำนักพิมพ์ออกมาเปิดรับต้นฉบับ ส่วนตัวคิดว่าช่วยได้มาก ดีไม่ดีถ้ามันเปิดรับตั้งแต่วันนั้นเราอาจจะไม่เปิดสำนักพิมพ์”

“เพราะฉะนั้นเราพูดบ่อยมากว่า วรรณกรรมมันคือตัวแทนเสียงของคนเขียน ยิ่งเสียงหลากหลาย มันน่าจะยิ่งเวิร์คในแง่ของเนื้อหา”

นิยายบางเรื่อง นักอ่านอยากให้อยู่แค่ในนิยาย

ด้วยความเปลี่ยนแปลงเพื่อโอกาสอยู่รอด เราถึงได้เห็นนิยายจำนวนมาก ถูกนำมาดัดแปลงเป็นบทละคร หรือ บทภาพยนตร์ ซึ่งส่งผลนิยายหนังสือขายได้มากขึ้นจริง แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม อย่างไรก็ตามในฐานะนักเขียน มันก็ไม่ใช่ทุกเรื่องทุกเล่ม ที่จะขายลิขสิทธิ์ให้ไปทำต่อ

“ถ้าพูดในฐานะเจ้าของผลงาน เราว่ามันแล้วแต่คน และไม่ใช่แค่แล้วแต่คนนะ มันแล้วแต่เล่มด้วย อย่างงานเรา เราไม่ได้พร้อมยินดีขายทุกเล่ม มีบางเล่มเหมือนกันที่ต่อให้โดนเสนอเงินมาก็ไม่ขาย เรารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นแล้วแต่คนแล้วก็แล้วแต่เล่ม”

ลาดิด ขยายความโดยยกตัวอย่าง หนังสือ ‘โบ และทุกสิ่งที่มิอาจแบ่งแยก’ เล่มนั้น เจ้าเจ้าตัวก็ตัดสินใจไม่ขาย

“มันเป็นการอธิบายความสวยงามในแบบปัจเจก คือตัวละครหนึ่งเขาเป็นเหมือนเป็นเทวทูต เป็นนางฟ้าที่หน้าตาจะเปลี่ยนผันไปตามคนที่มอง คนที่มองพึงใจแบบใดท่านจะเห็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นจินตนาการอันกว้างขวางของมนุษย์เนี่ย มันน่าสนใจ ถ้าเราทำให้โบมีหน้าตาในหนังปุ๊บ โบจะมีหน้าตาแบบนั้นตลอดไป”

นอกจากจะรอให้คนอื่นมาค้นพบงานของตัวเองแล้ว ลาดิด ก็วิ่งเข้าหาโอกาสด้วยตัวเองอีกด้วย อย่างที่เกิดขึ้นกับเรื่อง Stream of Conchetta 

เธอเป็นคนนำไปเสนอให้กับ Production House ที่คิดว่าน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี จากนั้นก็เข้าหาเจ้าของแบรนด์สินค้า ที่คิดว่าเหมาะสม เพื่อขอเงินทุนในการสร้างหนังสั้น ก่อนที่จะมอบสิทธิ์ในการสร้างหนังสั้นให้กับทั้งสองฝ่าย แล้วเธอก็ก้าวออกมาจากวงนั้น ออกมาเป็นคนดู

“เราว่ามันสนุกตรงที่มันได้เห็นความเป็นไปได้ของเนื้อหาในความเชื่อของคนอื่น คือเราไม่อยากบังคับให้เขาเชื่อแบบเรา หนังสือกับหนังมันมีแก่นหลักตรงกลาง ที่มีความเหลื่อมกัน มันไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ ถ้าใครได้เสพสองสื่อจะพบว่า สิ่งที่จะพูดมันต่างกัน ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น คือเรากับผู้กำกับไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ไม่ได้โตมาด้วยกัน ไม่มีอะไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำงานที่เหมือนกัน แล้วเราก็ไม่ได้อยากได้หนังสือที่ออกมาเป็นหนัง เราอยากเห็นความเป็นไปได้มากกว่า ซึ่งเขาก็ทำออกมาได้มีเอกลักษณ์ดี ซึ่งเราชอบ เราชอบเห็นลายเซ็นของผู้คน”

 

อยากให้ ‘นักเขียน’ ได้ไปต่อ ต้องทำยังไง

นอกจากการสนับสนุนนักเขียนที่เราชอบ ด้วยการอ่าน และซื้อผลงานของเขาแล้ว ลาดิด ยังเผยถึงวิธีที่จะสนับสนุนพวกเขา อย่าง การรีวิว และการซื้อหนังสืออะไรก็ได้จากร้านหนังสืออิสระ ที่เปิดพื้นที่ให้กับนักเขียนหน้าใหม่ ที่ยังทุนทรัพย์ไม่มากพอ ที่จะผลิตหนังสือจำนวนมาก ไปฝากขาย

“พูดง่ายๆ คือ ทำยังไงก็ได้ให้ร้านหนังสืออิสระอยู่ได้ อย่างร้าน House of Common ถ้าไม่ชอบซื้อหนังสือ ไปซื้อกาแฟหรือชาเขาก็ได้ เรารู้สึกว่าร้านหนังสืออิสระใกล้บ้านท่าน อาจจะกำลังต่อชีวิตนักเขียนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานอยู่ รีวิวกับต่อชีวิตร้านหนังสืออิสระ มันต้องไปด้วยกัน”

แล้วการสนับสนุนอะไรจากรัฐล่ะ? ลาดิดกล่าวว่า มีอยู่หลายจุดที่อยากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ตั้งแต่เรื่องลดภาษีกระดาษ ไปจนถึงการสนับสนุนทุนสำหรับการแปลภาษาต่างประเทศ เพิ่มโอกาสส่งออก 

รวมถึงการส่งเสริมการรักการอ่าน และการเข้าถึงหนังสือด้วยการเพิ่มจำนวนห้องสมุด และการปลดแบนเนื้อหาบางประเภทให้เหล่านักเขียนได้เขียน โดยไม่ต้องกลัวติดคุก ทุกคนก็จะได้ประโยชน์มากขึ้น

 

รุ่นพี่นักเขียน ฝากถึงรุ่นน้อง

เชื่อว่า มีคนจำนวนไม่น้อย อยากเริ่มต้นสายอาชีพนักเขียน ลาดิด ให้คำแนะนำไว้อย่างน่าสนใจ “(ถ้าอยากเป็นนักเขียน) เป็นเลย เราไม่ได้รู้สึกว่า การเป็นนักเขียนมันต้องได้เงินก่อนถึงจะเป็น คือแค่เขียนมันก็เป็นแล้ว ก็เป็นนักเขียนด้วยหน้าที่ และการกระทำของเรา” 

“ก่อนที่จะเป็นนักเขียนอาชีพ อาชีพแปลว่าต้องได้เงินจากสิ่งนี้ ก่อนที่จะเป็นมืออาชีพ มันต้องเป็นมือสมัครเล่นก่อน เพราะฉะนั้น เราก็เคยเขียนโดยที่ไม่ได้เงินมาก่อนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็เขียนไปก่อน งานแรกไม่มีทางเป็นงานที่ดีที่สุดอยู่แล้ว มันจะโตขึ้นตามอายุและประสบการณ์ เหมือนกับอาชีพอื่นๆ เริ่มเขียนไปก่อน”

อย่างไรก็ดี เมื่อชีวิตของทุกคนมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ลาดิด แนะนำว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าวางแผนให้พร้อม หากตัดสินใจทำเป็นอาชีพ

“ถ้าเกิดว่ารู้สึกว่ายังไม่พร้อม ยังมีเงื่อนไขอื่น ฉันยังมีบ้านต้องผ่อนมีอะไรก็ตามที่ต้องดูแล เราว่าการเขียนไปโดยไม่ได้ยึดเป็นอาชีพอ่ะมันก็เวิร์คเหมือนกัน เรารู้สึกว่านี่แหละ ทุกคนมีชีวิตที่ไม่เหมือนกันเราเชื่อในการทำเมื่อพร้อม แต่ถ้าถามว่าแล้วเมื่อไรจะพร้อม มีแค่คุณที่ตอบได้ มีแค่คุณที่รู้ว่าเอายัง ถ้าเอาแล้วก็ทำ แต่ถ้ายัง ต่อให้ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเป็นนักเขียนแค่อาชีพเดียว มันไม่ได้แปลว่าคุณไม่ได้เป็นนักเขียนไง”

“เราว่าบางทีชีวิตมันคือความ ฮาร์โมนี่ รู้สึกว่าบางทีมันไม่ได้มีสูตรสำเร็จแค่ข้อเดียว อาจจะไม่ถึงขั้นว่า ‘ฉันเกิดมาเพื่อเป็นนักเขียน’ เราอาจจะเป็นนักเขียน แต่ในขณะเดียวกันเราก็อาจจะเป็นคนขายของ หรืออะไรก็ได้เพื่อเอามาเสริมการเขียนก็ได้ แล้วแต่ชีวิต บางคนใช้การเขียนเพื่อเสริมอย่างอื่น และบางคนก็อาจจะใช้อย่างอื่นเพื่อเสริมการเขียน”

พลังของงานวรรณกรรม คืออะไร?

ต่อให้ถูกถามกี่ครั้ง ความรู้สึกที่ลาดิด มีต่อ ‘วรรณกรรม’ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “วรรณกรรมมันคือกองกลางที่ใหญ่มากๆ เราแค่ผลัดกันให้ ผลัดกันรับ สมมติเรายื่นเนื้อหาของ ‘อันกามการุณ’ เข้าไปในกองกลางใหญ่ๆ นั้น และก็อาจจะมีบางคนมาหยิบสิ่งนี้ไป เพื่อรับรู้ว่ามันมีมันมีสิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนคนนี้ แล้วในขณะเดียวกัน ณ อีกฟากหนึ่งของโลก ก็อาจจะมีคนดำที่เขียนเรื่องความการเป็นเควียร์ในสังคมของตัวเอง ใส่ไว้ในกองกลาง แล้วเราซึ่งเป็นคนอาเซียนร่วมใจคนหนึ่ง ก็มาหยิบเนื้อหาของเควียร์คนดำคนนั้นขึ้นมาอ่าน แล้วเราก็ได้รับรู้เรื่องราวที่ทั้งชีวิตเราจะไม่มีวันได้สัมผัสด้วยตัวเอง เราว่ามันเจ๋งตรงนี้แหละ”

ลาดิด ออกปากถึง ‘ความเจ๋ง’ ที่มีหลายเรื่อง ที่ชีวิตนี้ไม่มีทางได้รับรู้ แต่ดันได้รับรู้จากการหยิบมาอ่าน แล้วดันลงทุนน้อยที่สุด ไม่ต้องบินไป ไม่ต้องไปใช้ชีวิต หรือกระทั่งมีอภิสิทธิ์ในการที่จะไม่ต้องเข้าไปเสี่ยงอันตราย ในพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่ได้เหมาะกับการใช้ชีวิตเลย แต่ก็ยังมีคนตรงนั้น ที่เขาเขียนออกมาให้คนอื่นๆ ได้รับรู้เสียงของเขา

“อีกอย่างหนึ่ง เราว่าวรรณกรรมทำให้เราได้ฝึกการเห็นอกเห็นใจคนอื่น โดยปกติทั่วไปแล้วการเห็นคนๆ นึงเดินผ่านหน้าเรา แล้วเราก็รู้สึกขึ้นมาว่า ฉันไม่ชอบหน้าเธอเลย แต่วรรณกรรมจะไม่ทำให้เราเกิดความรู้สึกอย่างไม่มีเหตุผล”

สิ่งที่ตามมา เวลาเห็นใครสักคน เราจะเห็นใจ เห็นไปถึงว่าใจเขามันเป็นยังไง ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แล้วมันเป็นการฝึก เราไม่ได้ฝึกกับคนจริง ๆ 

“ฉะนั้นมันจะไม่มีคนที่มาได้รับผลกระทบ จากการเกลียดชังของเรา แต่มันเป็นตัวละครนึง ซึ่งมาเป็นครูให้เรา โดยที่เราได้เห็นเลเยอร์ต่างๆ ของชีวิตมนุษย์คนนึง ตัวละครที่เลวร้ายมากๆ แต่ถ้ามันโดนเขียนออกมาอย่างดี มาทำให้เราเห็นทั้งความเป็นมนุษย์ของตัวละคร และของตัวเราเองว่า ทั้งหมดนี้ประกอบขึ้นมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ทำเรื่องเลวร้าย มันมีอะไรบ้าง”

“อาการที่เรียกว่า เอายังไงดีกับชีวิต อันนี้มันเป็นภาวะที่เราชอบมากๆ ในการอ่านหนังสือ เพราะมันไม่มีทางที่มนุษย์คนนึงจะเลว 100% ดี 100% เราว่าการได้เห็นจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นพลังของวรรณกรรมสำหรับเรา” ลาดิดทิ้งท้ายเอาไว้

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง