“พี่เป็นหัวใจของผมเลยนะเว้ย พี่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมแม่ง ก็มีชีวิตเหมือนกัน” คำโปรยปกหลัง คล้ายกับคำสารภาพชวนใจเต้น ทว่า เมื่อได้ลองเปิดอ่านจนจบ ไดอะล็อกเดียวกัน กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป – ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง แต่เหมือนจับต้องไม่ได้
ร่วง
หล่น
และคว้าอะไรไม่ได้สักอย่าง
***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน รวมถึงปมสำคัญของเรื่อง***
‘เดนดาว NEVER DIE’ นวนิยายของ ‘จิตจงกล’ ที่สร้างปรากฏการณ์สุดไฮป์ ในวงการหนังสือไทย ปี 2025 หลังตีพิมพ์ครั้งที่ 2 ร่วมกับสำนักพิมพ์ P.S. หลังจากลุยเดี่ยวในครั้งแรก จนนักอ่านไม่น้อย หันกลับมาสนใจผลงานนักเขียนบ้านเราเพิ่ม ในรอบหลายปี รวมถึงทำให้เพลงเก่าๆ ของวง Dr.Fuu กลับมาครองใจผู้คนอีกครั้ง
ที่สำคัญ คือ ‘เดนดาว NEVER DIE’ ไม่ใช่หนังสือที่อ่านจบแล้วจบเลย แต่ยังคงทิ้งบางสิ่งไว้ในใจของผู้อ่าน ด้วยการสอดแทรกประเด็นทางสังคม อย่าง ปิตาธิปไตย อคติทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัว ความเหลื่อมล้ำ วงการศิลปะ รวมถึงโรคหลายอัตลักษณ์ (Dissociative Identity Disorder)
นำไปสู่พื้นที่แห่งการถกเถียงในวงกว้าง โดยเฉพาะการท้วงติความถูกต้อง ของ ประเด็นโรค DID และข้อควรระวังที่ผู้เขียนอาจให้น้ำหนักน้อยเกินไป จนผู้เขียนต้องขยับตัว อธิบาย และเผยแนวทางปรับปรุงในอนาคต มากไปกว่าเสียงวิพากษ์ และเสียงชื่นชมของคนอ่าน ที่ผู้ผลิตต้องแสดงความรับผิดรับชอบ ‘เดนดาว NEVER DIE’ ย้ำให้เห็น ‘พลังของหนังสือเล่ม’ ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในสังคม และก่อร่างสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์ให้กับผู้คนได้
เดนดาว NEVER DIE เล่าเรื่องอะไร?
นวนิยายเรื่องนี้ พาทุกคนย้อนกลับไป เมื่อปี พ.ศ. 2552 โลกภายนอกมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ใครจะเติบโต เฉิดฉาย หรือดับลง แต่ตัวละครเอกของเรื่อง อย่าง ‘น้ำ’ อดีตนักศึกษาสาขาวิจิตรศิลป์ ที่ผันตัวมาเป็นคนขายน้ำเต้าหู้ ก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไร้จุดหมาย เพียงลำพังโดยไร้อิสระ ที่บ้านสีเขียวท้ายไร่ ณ คุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
กระทั่งความบังเอิญเล่นตลก เมื่อ ‘วิบวับ’ ลูกชายนายกอบต. ที่มีนิสัยชอบชกต่อยได้หนีออกจากบ้าน และกลับมายัง ‘บ้านสีชมพู’ บ้านหลังเก่าในวัยเด็ก ซึ่งตั้งอยู่คู่กับบ้านสีเขียวของน้ำ ณ ปัจจุบัน ทำให้วิบวับได้ล่วงรู้ความลับที่ว่า น้ำเป็นเกย์ แถมยังซ่อนพิพิธภัณฑ์ผลงานศิลปะร่วมสมัย อย่าง อาดัม ที่เปลือยเปล่าจำนวนมากไว้ในบ้านสีชมพูอีกด้วย
และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ระหว่าง ‘คนเหงา’ สองคน ที่พยายามหลบซ่อนความต้องการ ปกปิดตัวตนให้พ้นสายตาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว
‘วิบวับ’ และ ‘น้ำ’ ต่างมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก
“เสียงไอวับมันอุ่นๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก รู้สึกประหลาดเหมือนเป็นสิ่งที่รอคอย ทั้งที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ากำลังคอยอยู่
ขนาดนั้นน้ำเหมือนได้โอกาสลาออก
จากอาชีพขายน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เพียงชั่วคราว และได้เป็นศิลปินเพียงในชั่วครู่”
– ความรู้สึกของน้ำ หลังวิบวับเอ่ยปากชมงานศิลปะ
‘น้ำ’ และ ‘วิบวับ’ ต่างรู้สึกเหมือนเป็น ‘ซากเดน’ ที่ไร้ค่าและไม่มีใครต้องการ เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว พ่อของน้ำไม่เห็นด้วยเรื่องการเรียนศิลปะ และคงต่อต้านอย่างหนัก หากรู้ว่าลูกชายของตัวเองเป็นเกย์ ส่วนวิบวับเองก็โดนแม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก จึงเติบโตมากับพ่อที่ใช้ความรุนแรง และแม่เลี้ยงที่ทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนเกินของครอบครัว
ทั้งคู่ไม่สามารถเป็นตัวเองที่บ้านได้ ฉะนั้น สถานที่ปลอดภัยที่ใกล้เคียงกับคำว่าบ้านมากที่สุด จึงกลายเป็น ‘บ้านสีเขียวและสีชมพู’ สถาปัตยกรรมซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สิน หรือกรรมสิทธิ์ ของพวกเขาแม้แต่น้อย ทว่า เป็นพื้นที่ที่สามารถปลดเปลื้องตัวตนาได้มากที่สุด เพราะพวกเขาต่างยอมรับและชื่นชมในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าการเสียคนหล่อจ๊าบอย่างเขาไปคนหนึ่ง มันสร้างคุณูปการให้กับโลกแค่ไหน เขาช่วยลดความโหวงหวางให้โลกไปได้ตั้งหน่อยหนึ่งแน่ะ ที่สำคัญ ไม่ทำให้ใครเสียน้ำตาด้วย” – คำพูดตลกร้าย จากวิบวับ
การมีอยู่ของน้ำ จึงทำให้ความเหงาในใจของวิบวับลดลง ส่วนการมีอยู่ของวิบวับก็ทำให้น้ำรู้ตัวว่า จริงๆ แล้ว ตัวเองเคยเหงามากเพียงใด แม้น้ำและวิบวับจะผุพังจนไม่อาจประกอบสร้างตัวเองกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยการมีอยู่ของกันและกัน ก็ทำให้พวกเขากลับมามองเห็นคุณค่าในตัวเอง และทำให้ ‘ซากเดน’ ได้กลายเป็น ‘ดวงดาว’ ที่ส่องประกายวิบวัยในชั่ววูบหนึ่งอันเป็นนิรันดร์ – NEVER DIE
ไปๆ มาๆ ‘เดนดาว NEVER DIE’ ดูจะทำให้เข้าใจว่า ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความเดียวดาย มันเจ็บปวดมากเพียงใด และมันยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เมื่อคนที่ทำให้เรารู้สึกเหงาคือ คนที่เราต้องการความรักจากเขา ตราบใดที่มนุษย์ยังคงเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่น บนโลกนี้คงมี ‘วิบวับ’ และ ‘น้ำ’ อยู่ทั่วทุกมุมโลก
Toxic Masculinity และบาดแผลของเกย์
“ไอ้พี่ไก่มันชอบแกล้งหยอก แต่น้ำไม่ตลกด้วย พอเห็นเค้าผมยาวหน่อย พี่แกก็สวมบทให้เค้าเป็นผู้หญิงตามคติเพี้ยนๆ ของ ‘ไอ้หนุ่มลูกผู้ชาย’ แล้วก็ชอบมาสัมผัสเนื้อตัว จับเล่นเส้นผม และชอบมองน้ำด้วยสายตาน่าขนลุก”
‘ไอ้พี่ไก่’ ไม่ได้มีอยู่ในนิยายเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ผู้ชายยังถูกคาดหวังให้วางตัวตามลักษณะความเป็นชาย จะมาไว้ผมยาว สวมใส่กระโปรง แต่งหน้า ดูแลตัวเอง ไปจนถึงขั้นแสดงความอ่อนแอ เป็นเรื่องผิดแปลก
ทั้งที่จริงแล้ว Feminine (ลักษณะความเป็นหญิง) หรือ Masculine (ลักษณะความเป็นชาย) ไม่ได้ยึดโยงกับเพศสภาพเลย ผู้หญิงสามารถไว้ผมสั้น ชอบสีทึบหรือเล่นหุ่นยนต์ได้ ขณะเดียวกัน ผู้ชายก็สามารถไว้ผมยาว ชอบสีชมพูหรือเล่นตุ๊กตาน่ารักๆ ได้เช่นกัน
พฤติกรรมของ ‘ไอ้พี่ไก่’ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของ ‘Toxic Masculinity’ (ภาวะชายเป็นพิษ) ซึ่ง ‘เดนดาว NEVER DIE’ พยายามสื่อสารสะท้อนค่านิยมชายเป็นใหญ่ในสังคมไทย ยิ่งไปกว่านั้น รากสำคัญของปัญหานี้ยังอยู่ที่แนวคิดเรื่อง ‘บทบาทหน้าที่ตามเพศกำเนิด’ เช่น ความเชื่อที่ว่า การเกณฑ์ทหารคือหน้าที่ของลูกผู้ชาย หรือลูกชายต้องบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่
โดยตัวละคร น้ำ คือเหยื่อของ Toxic Masculinity ที่เกิดจากการปลูกฝัง และส่งต่อค่านิยมที่ผิดเพี้ยน จนไม่สามารถเปิดเผยว่า ตัวเองเป็นเกย์และชอบผู้ชายกับครอบครัวได้ ไม่เท่านั้น แม้แต่ปฏิเสธการบวชจากพ่อ เขาก็ทำไม่ได้
“เขาแค่ไม่ชอบพี่ไก่ แต่เขารักพ่อ แต่พ่อเป็นแบบพี่ไก่ ตลกดีเหมือนกัน”
ก่อนที่ ‘เดนดาว NEVER DIE’ จะขยายภาพความตลกร้ายของสังคม ที่คนจำนวนหนึ่ง ยังมองว่า การเป็น LGBTQ+ เป็นเรื่องผิดปกติ ผิดเพศ หรือวิตถาร จึงไม่อาจยอมรับ และทำความเข้าใจในอัตลักษณ์ได้ จนก่อให้เกิดพฤติกรรมกดทับ ทั้งที่พวกเขาอาจเป็นลูกของตัวเองก็ตาม
สังคมแห่งความเหลื่อมล้ำ
ฉากหลังของนวนิยายเรื่องนี้ เล่าผ่านบริบทของ ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ในทางหนึ่งพาเหล่าคนอ่าน ให้จินตนาการถึงท้องทุ่ง หรือความสวยงามของวิถีชนบท ทว่า ไดอะล็อก ของโผล่มาในเรื่อง กลับเบรกจินตนาการเหล่านั้น คล้ายกระชากคนอ่านกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ที่แม้แต่จะดู ภาพยนตร์รถไฟฟ้า มาหานะเธอ ในปี 2552 ยังแสนยากลำบาก
“ที่บ้านโป่งไม่มีโรงหนัง-มีแต่ซากโรงหนังเก่า อย่างโฆสิตสกุลและเฉลิมทองคำ ส่วนบ้านโป่งรามาก็กลายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต-โรงหนังที่ใกล้บ้านโปงที่สุดคือบิ๊กซีนครปฐม (ธนาซีนีเพล็กซ์) พวกเขาต้องขี่รถเครื่องไปจอดที่สถานีตำรวจ และขึ้นเมล์ส้มไปนครปฐม และลงหน้ามหาลัยศิลปากร จากนั้น ก็ต่อเมล์เครื่องไปบิ๊กซี”
ถึงตอนนี้ จึงไม่แปลกที่ความฝันในการเป็น ‘ศิลปิน’ ของทั้งสองตัวละคร จะดูห่างไกลเหลือเกิน อย่าว่าแต่ทำตามฝัน แค่จะเอาชีวิตรอดก็ยากลำบากมากแล้ว จะไปหาเวทีประกวดร้องเพลง หรือหอศิลป์แสดงผลงานศิลปะดีๆ ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในเมืองหลวงทั้งนั้น
ซ้ำร้ายหันมามอง ณ ปัจจุบัน ล่วงเลยมากว่า 16 ปีแล้ว บางจังหวัดในไทยก็ยังคงตามหาโรงหนังแห่งแรกอยู่เลย ผู้คนยังต้องเข้ากรุงเทพฯ เพื่อแสวงหาโอกาสในการศึกษา การทำงาน ต่อยอดไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ความเจริญก็ดูจะยังคงกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองหลวงดังเดิม
สร้างพื้นที่เพิ่มความเข้าใจ ‘โรคหลายอัตลักษณ์’
ประเด็นนี้กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก ในสื่อสังคมออนไลน์ เนื่องจากผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่มีโอกาสอ่าน ‘เดนดาว NEVER DIE’ กลับมาให้ความเห็นว่า หนังสือเควรเขียนคำเตือน (Trigger Warning) ว่าจะมีการกล่าวถึง ‘โรคหลายอัตลักษณ์’ ที่อาจกระทบความรู้สึกของผู้คน
ทว่าอีกมุมหนึ่ง มองว่า ประเด็นของโรคที่สอดแทรก คือ ปมสำคัญและจุดเปลี่ยนของเรื่อง นักเขียนและสำนักพิมพ์ จึงไม่ได้เปิดเผยเนื้อหาส่วนนี้ตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคหลายอัตลักษณ์รายหนึ่ง ยังแสดงความเห็นท้วงติงว่า เนื้อหาบางส่วนให้ข้อมูลโรคหลายอัตลักษณ์คลาดเคลื่อนไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือสร้างภาพจำเชิงลบต่อโรคดังกล่าวได้ เป็นที่มาให้ นักเขียน ‘จิตจงกล’ และสำนักพิมพ์ ‘PS Publishing’ กล่าวขอโทษ ก่อนชี้แจงว่าจะพยายามหาทางปรับปรุงแก้ไขปัญหานี้ต่อไป
ตามความเห็นของผู้เขียน ตัวละคร ‘วิบวับ’ เหมือนพาเราในฐานะคนอ่าน ให้ผ่านประสบการณ์ทั้งร้ายและดีไปพร้อมกับตัวละคร มากกว่ามองโรคดังกล่าวในทางลบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นวนิยายเป็นสื่อรูปแบบหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อมุมมองความคิดของผู้อ่าน ดังนั้น ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับลักษณะอาการของโรค หรือมีภาพจำที่ทำร้ายผู้ป่วยโดยตรง
ท้ายที่สุดแล้ว การนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่นักเขียนและสำนักพิมพ์ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือให้ความบันเทิงในมิติของนวนิยาย และให้สาระผ่านข้อเท็จจริง
กระแสของ ‘เดนดาว NEVER DIE’ เป็นอีกหนึ่งแรงกระเพื่อม ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานวงการหนังสือไทยไปอีกขั้น โดยจุดประกายให้นักเขียน และสำนักพิมพ์ ตระหนักถึงพลังในการสื่อสารของตัวเองมากขึ้น รวมถึงทำให้ผู้อ่าน หันมาให้ความสำคัญกับการวิจารณ์อย่างเหมาะสม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีในอนาคต
“พี่เป็นหัวใจของผมเลยนะเว้ย พี่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมแม่ง ก็มีชีวิตเหมือนกัน”
ไดอะล็อกนี้ไม่ใช่เพียงคำพูดโรแมนติกทั่วไป หากแต่เป็นกุญแจที่เชื่อมไปสู่ปมสำคัญของเรื่องอย่าง ‘โรคหลายอัตลักษณ์’
หลังจากอ่านนวนิยายเล่มนี้จบแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อประโยคข้างต้นจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร? อยากให้ทุกคนได้ไปหาคำตอบ และสัมผัสกับห้วงอารมณ์ทั้งหมดด้วยตนเอง










