NIA ยกระดับเศรษฐกิจไทย ผ่าน ‘นวัตกรรมเพื่อสังคม’ สร้างเงินลงทุนกว่า 434 ล้านบาท

NIA ยกระดับเศรษฐกิจไทย ผ่าน ‘นวัตกรรมเพื่อสังคม’ สร้างเงินลงทุนกว่า 434 ล้านบาท

ข่าวเศรษฐกิจ

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กำลังยกระดับบทบาทของ ‘นวัตกรรมเพื่อสังคม’ จากการแก้ปัญหาเชิงสังคมสู่การเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ธุรกิจให้ความสนใจลงทุนและแง่การเติบโตทางธุรกิจ

โดยสะท้อนถึงการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งผลักดันนวัตกรรมเพื่อสังคมให้กลายเป็นการลงทุนและการเติบโตทางธุรกิจ ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว 

ที่ผ่านมา NIA ได้สนับสนุนงบประมาณโครงการนวัตกรรมเพื่อสังคมแล้วกว่า 563 โครงการ สร้างเม็ดเงินลงทุนกว่า 434 ล้านบาท และภายในปี 2568 มีโครงการได้รับการการสนับสนุนจาก NIA และภาคเอกชนแล้ว 171 โครงการ สร้างเม็ดเงินลงทุนกว่า 135.8 ล้านบาท มีประชาชนได้รับผลประโยชน์ประมาณ 136,132 คน ทั่วทุกภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่า ‘นวัตกรรมเพื่อสังคม’ ไม่ใช่แค่โครงการเพื่อสังคมแต่เป็นโมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้และเติบโตในเชิงพาณิชย์ได้จริง 

อีกหนึ่งเหตุผลของการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคมก็คือ การสร้างกลไกที่ช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการในระยะเริ่มต้น ผ่านการให้ทุนสนับสนุนโครงการแบบให้เปล่า การส่งเสริมองค์ความรู้และเทคโนโลยี จนถึงการเชื่อมโยงระหว่างรัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาในการพัฒนาต้นแบบธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสังคม นำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งกลไกเหล่านี้เป็นเหมือนคันเร่งที่จะช่วยให้สามารถพัฒนาแนวคิดในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ 

รวมทั้งโครงการหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม ถือเป็นโมเดลสำคัญในการเปิดโอกาสให้ธุรกิจทดลองใช้นวัตกรรม ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการลดต้นทุนในการผลิต สามารถผลิตสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า จากผลลัพธ์ของโครงการคือสามารถเพิ่มรายได้ชุมชนเฉลี่ย 20% ภายใน 3 ปี สะท้อนว่านวัตกรรมสามารถสร้างคุณค่าและยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ และมีศักยภาพสู่การขยายตลาดในวงกว้าง

สำหรับอนาคตของ ‘ร้อยเอ็ด’ ซึ่ง NIA วางให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการสร้างโมเดลที่จะนำไปใช้ทั่วประเทศ สะท้อนถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในการก้าวสู่ธุรกิจตลาดพรีเมียม ทั้งด้านเกษตรมูลค่าสูง สิ่งแวดล้อมสีเขียว  สุขภาพชุมชนและการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ 

ซึ่งชุมชนสาเกตนคร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นโมเดลของการพัฒนาเศรษฐกิจที่เริ่มจากความต้องการของคนในพื้นที่ที่อยากสร้างรายได้ และเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี งานวิจัยและธุรกิจ จึงเกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกในทางเศรษฐกิจครอบคลุมถึง 3 อำเภอ มีประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 21,992 คน และมีนวัตกรรมที่พร้อมขยายผล 20 โครงการ 

หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการทำธุรกิจของโครงการโคเนื้อทุ่งกุลา แบรนด์ ‘KULA BEEF’ คือ Value Chain เป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นจากการแปรรูป การสร้างแบรนด์และการเข้าถึงตลาดพรีเมียม ที่ได้นำกระบวนการบ่มเนื้อแบบวิทยาศาสตร์มาใช้ ทำให้เนื้อโคพื้นบ้านไทยยกระดับสู่ตลาดพรีเมียม ราคาเพิ่มขึ้นจากหลักร้อยเป็นหลักพันต่อกิโลกรัม ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น และเกิดเครือข่ายผู้เลี้ยงโคที่มีคุณภาพในพื้นที่ 

[ รู้จัก V-PROMPT ]

อีกหนึ่งโครงการคือ ‘V-PROMPT’ ที่นำเทคโนโลยี IoT Smart Farm มาใช้ในการปรับปรุงและควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างมีคุณภาพ ส่งผลให้ธุรกิจลดต้นทุนการผลิตและเกษตรกรมีกำไรเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศและการขาดแคลนแรงงาน ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนช่วยเพิ่มผลผลิตมะเขือเทศถึง 30–40%

เทคโนโลยีเหล่านั้นจะทำให้เกษตรกรสามารถปลูกผลผลิตนอกฤดูกาลได้ และสามารถวางแผนการผลิตตามความต้องการของตลาด นั่นหมายถึงรายได้ต่อครัวเรือนที่จะเพิ่มขึ้นด้วย 

นวัตกรรมเพื่อสังคมกำลังกลายเป็นหนึ่งในกลไกหลักในการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเชิงสังคม แต่ช่วยสร้างตลาด อุตสาหกรรมและโอกาสใหม่ให้กับผู้ประกอบการ

อีกทั้งเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สร้างผลตอบแทนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเทคโนโลยี อัตลักษณ์ท้องถิ่นและกลไกทางการตลาดถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เศรษฐกิจก็สามารถเติบโตและแข็งแรงอย่างยั่งยืน 

 

 

 เขียนโดย: ปณิตา สารคณา 

TODAY BizviewWriterTODAY Bizview
TODAY Bizview by workpointTODAY
ข่าว สาระ ความรู้ ด้านธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
NIA ยกระดับเศรษฐกิจไทย ผ่าน ‘นวัตกรรมเพื่อสังคม’ สร้างเงินลงทุนกว่า 434 ล้านบาท