แบงก์ชาติตัดสินใจไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการ LTV ที่จะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ เพราะภาคอสังหาฯ กลับมาเติบโตได้ดีใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดแล้ว และเชื่อว่าการกลับไปใช้มาตรการเดิมจะไม่กระทบกับกลุ่มคนมีรายได้น้อยและเศรษฐกิจ
วันนี้ (31 ต.ค. 2565) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัดสินใจไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการ LTV ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 2564 และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธ.ค. 2565 นี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
สำหรับสาเหตุที่ยุติการผ่อนคลายมาตรการฯ มาจากที่ภาคอสังหาริมทรัพย์สามารถกลับมาเติบโตได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว จึงมองว่าความจำเป็นที่ต้องผ่อนคลายมาตรการ LTV น่าจะหมดไป
โดยยอดโอนอสังหาฯ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 8.5% ขณะที่การเปิดโครงการใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 9,000 หน่วยต่อเดือน ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 9,300 หน่วยต่อเดือน
นอกจากนี้ การขยายระยะเวลาการผ่อนคลายมาตรการฯ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในระบบการเงินในระยะถัดไปได้ เช่น การเก็งกำไรอสังหาฯ โดยกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับหนี้ครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นขึ้นในอนาคต
สำหรับความกังวลว่าการยุติการผ่อนคลายมาตรการฯ อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนมีรายได้น้อยที่ต้องการซื้อบ้าน ธปท.มองว่า การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV จะไม่กระทบต่อประชาชนกลุ่มดังกล่าว
ทั้งนี้ เพราะช่วงที่แบงก์ชาติผ่อนคลายมาตรการ เป็นการผ่อนคลายตลาดบ้านราคาสูง เพื่อจูงใจให้กลุ่มคนที่ยังมีกำลังซื้อในช่วงโควิด-19 ออกมาใช้จ่าย เพื่อจะได้ส่งผ่านการเติบโตไปยังภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ต้องกลับมาจ่ายเงินดาวน์มากขึ้น
ส่วนความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ยังมีความท้าทายเพิ่มขึ้นในปีหน้า (2566) ธปท. ระบุว่า จากการสอบถามไปยังผู้ประกอบการฯ พบว่าการผ่อนคลายมาตรการ LTV ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นได้จริง สะท้อนจากสินเชื่อที่ขยายตัว
อย่างไรก็ตาม สินเชื่อให้ใหม่ส่วนใหญ่ยังมาจากบ้านหลังแรกซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่แท้จริง และเป็นกลุ่มที่ LTV ผ่อนคลายมากอยู่แล้วที่ 100% จึงเชื่อว่าการยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ที่เดิมเอื้อให้ตลาดบ้านราคาสูง ไม่น่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจขนาดนั้น
นอกจากนี้ รายได้ของผู้ประกอบธุรกิจอสังหาฯ เริ่มกลับมาดีขึ้น ซึ่งมาจากโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ดังนั้น อะไรที่เคยผ่อนไว้ คลายไว้ จะต้องยุติลง ซึ่งก่อนจะตัดสินใจมีการทบทวนแล้ว ให้เหมาะกับภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว










