‘วราวุธ’ กังขาน้ำมันดิบรั่วรอบ 2 ทั้งที่ กรมเจ้าท่า สั่งบริษัทฯ หยุดดำเนินการท่อส่งน้ำมันทุกอย่างในทะเล

กรณีน้ำมันดิบรั่วสู่ทะเล จ.ระยอง เป็นครั้งที่ 2 โดยบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ซึ่งล่าสุดทางบริษัทแจ้งว่า พบฟิล์มน้ำมันประมาณ 5,000 ลิตร เกิดจากการย้ายท่ออ่อนที่อยู่ใต้ทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึก แบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล ของบริษัท ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง
ทำให้วันนี้ (11 ก.พ. 2565) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เรียกทางกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยได้รับรายงานสถานการณ์ขณะนี้ว่า ทาง SPRC ได้หยุดกิจกรรมบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล ได้ใช้ทุ่นกักน้ำมัน หรือ boom กักคราบฟิล์มน้ำมันไว้ และฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบฟิล์มน้ำมัน เบื้องต้นสามารถควบคุมสถานการณ์ โดยทางบริษัทจะประสานสมาคมอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน (IESG) เพื่อขอบูมมากั้นให้ไม่ให้คราบน้ำมันขึ้นชายหาด
ส่วนที่ทางบริษัทขออนุญาติใช้สาร dispersant จำนวน 5,000 ลิตร ขณะนี้ยังรอให้กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศรชลจังหวัดระยอง ทำการประเมินคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีการพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง สำหรับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใต้ทะเล จากการใช้สาร dispersant รอบแรกนั้น นายวราวุธ อธิบายว่า ขณะนี้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกำลังเก็ยข้อมูลผบกระทบโดยรอบ เพราะผลกระทบจากมันรั่ว ต้องดูระยะยาว โดยเฉพาะผลกระทบห่วงโซ่อาหาร ต้องประเมิน 3 – 5 เดือน จนถึง 1 ปี เพื่อประเมินค่าเสียหายกับบริษัทต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางกระทรวงยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายทางระบบนิเวศใต้ทะเล ซึ่งอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล แต่ยืนยันว่า สาร dispersant ที่บริษัทใช้ใน จ.ระยอง เป็นรุ่นที่ 3 เป็นสารเพิ่มการกระจายตัวของน้ำมัน มักจะถูกนำมาใช้เพื่อเร่งกระจายตัวของน้ำมันให้น้ำมันแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็ก และสามารถย่อยสลายได้ง่ายด้วยจุลินทรีย์ ใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน

ขณะเดียวกัน นายวราวุธ ยังตั้งข้อสงสัยว่า เหตุที่น้ำมันรั่วติดกันห่างกันเพียง 2 สัปดาห์ เป็นเพราะอะไร ในขณะที่กรมเจ้าท่าได้ขอให้บริษัทหยุดการดำเนินการเกี่ยวกับท่อส่งน้ำมันทุกอย่างทางทะเล ซึ่งบริษัทยังให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ โดยกรมเจ้าท่าและหน่วยงานที่ตรวจสอบจะต้องไปสอบสวนหาข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ นายวราวุธ ระบุว่า ได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งหามาตรการและข้อมูลเพื่อรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก รวมทั้งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการทำงานของท่อที่อยู่ใต้ทะเล และท่อที่อยู่ในลักษณะเดียวกันนี้ว่ามีที่ไหนบ้าง และกำชับเรื่องการดูแลป้องกันในอนาคต ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับการกระทรวงอุตสาหกรรม










