‘เอสซีจี แพคเกจจิ้ง’ ตั้งงบลงทุนด้าน ESG ในปีนี้ไว้สูงถึง 5,000-6,000 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายสูงสุดในการเป็นองค์กร Net Zero
‘วิชาญ จิตร์ภักดี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยถึงการลงทุนในปี 2566 ว่า ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 18,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นงบที่ใช้ในการควบรวมกิจการกับพันธมิตรชั้นนำศักยภาพสูง (M&P) 9,000 ล้านบาท และงบที่ใช้ในการลงทุนขยายกำลังการผลิตอีกประมาณ 3,300 ล้านบาท
แต่จุดที่น่าสนใจคือ SCGP ตั้งงบลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ไว้สูงถึง 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งซีอีโอของบริษัทฯ อธิบายว่า
สำหรับ SCGP เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งแผนด้าน ESG ในปีนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนการใช้บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ที่รีไซเคิลได้ให้มากขึ้น
นอกจากนี้ SCGP ยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลในการผลิตให้มากขึ้น รวมถึงแผนการเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานทางเลือก และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
โดยตั้งเป้าว่า ภายในปี 2568 บริษัทฯ จะสามารถหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ 100% และคาดว่าในปี 2593 จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ได้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ SCGP ตั้งงบลงทุน 5 ปีไว้ที่ 100,000 ล้านบาท (2564-2568) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายรายได้ให้เติบโตแตะ 200,000 ล้านบาทภายใน 2568
โดยในปี 2564-2565 บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 37,000 ล้านบาท ในการลงทุนและขยายกำลังการผลิตในธุรกิจที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโต

เมื่อถามถึงภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ซีอีโอของ SCGP กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปี 2566 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากปัจจัยบวกที่จีนเริ่มเปิดประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การนำเข้าและส่งออก
ขณะที่ห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น
ถึงอย่างนั้น ในไตรมาสแรกก็ยังมีความท้าทายจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ผันผวนต่อเนื่อง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับสูง และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงในหลายภูมิภาค เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหญ่ของภาคธุรกิจการส่งออกของอาเซียน
อย่างไรก็ตาม SCGP ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมรับมือกับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับรายได้ในปีนี้ SCGP ตั้งเป้าหมายที่ 160,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหาายจาก 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1. การสร้างการเติบโตจากการ M&P และการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และมองโอกาสขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพสูง โดยเน้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และผสานความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัทย่อย (Synergy)
ด้วยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี การขยายฐานลูกค้าและจัดหาวัตถุดิบ เพื่อยกระดับขีดความสามารถการดำเนินงาน โดยตั้งงบประมาณการลงทุนในปีนี้ที่ 18,000 ล้านบาท
เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของดีล M&P ในครึ่งแรกของปีนี้ 1 ราย ส่วนในครึ่งหลังของปี 2566 คาดหวังอย่างน้อยอีก 1 ราย เพื่อให้ตรงตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ตั้งเป้า M&P ต่อเนื่องปีละ 2 ราย
2. การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มคุณค่าและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ด้วยงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา 800 ล้านบาท
3. การยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงานของทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain integration) ด้วยการนำระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้ในการวิเคราะห์ คาดการณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและผลิตผล และการใช้ Data Analytics เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านข้อมูลตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (End-to-End)
4. การวางแผนบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน การวางแผนบริหารความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น การบริหารจัดการเงินสด และงบประมาณการลงทุน (CAPEX)
โดยปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะออกหุ้นกู้เพิ่มเติม หลังจากเสนอขายหุ้นกู้ครั้งล่าสุดไปเมื่อปลายปี 2565 มูลค่า 15,000 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 2 ของปี 2566
ภายใต้กลยุทธ์นี้ SCGP ยังมีการกระจายฐานลูกค้าหลากหลายประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรม การมองหาตลาดใหม่ในแถบตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกาใต้
5. ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด ESG 4 Plus โดยมีเป้าหมายและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนที่จะเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 146,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน ผลจากการวางกลยุทธ์ขยายกำลังการผลิตและการควบรวมกิจการกับพันธมิตร
การรับรู้รายได้เต็มปีจากการรวมผลประกอบการของบริษัทที่ M&P ได้แก่ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab การรับรู้รายได้บางส่วนจาก Peute และ Jordan รวมถึงการปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 19,402 ล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิสำหรับปีอยู่ที่ 5,801 ล้านบาท ลดลง 30% จากปีก่อน
ทั้งนี้ เป็นผลจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงการลดลงของปริมาณการขายและอุปสงค์กระดาษบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกจากสถานการณ์เศรษฐกิจ และในภูมิภาคจากการล็อกดาวน์ของประเทศจีน
ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 33,509 ล้านบาท ลดลง 5% EBITDA อยู่ที่ 3,554 ล้านบาท ลดลง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 450 ล้านบาท ลดลง 79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยเป็นผลจากความต้องการและราคาขายบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ความต้องการสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ยังเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการทยอยเปิดประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท
โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2565 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ในวันที่ 24 เม.ย. 2566 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 เม.ย. 2566
โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 เม.ย. 2566










