วันที่ 29 เม.ย. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สตาร์บัคส์คาดการณ์ว่า ยอดขายในจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญที่สุดของบริษัทจะฟื้นตัวภายในเดือนกันยายน หลังการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมในไตรมาสปัจจุบันลดลงจากสถานการณ์โรคระบาด ที่ส่งผลให้ต้องปิดร้านทั่วโลก
สตาร์บัคส์เปิดเผยว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมทั่วโลกในไตรมาส 2 ลดลงร้อยละ 10 ในขณะที่การระบาดของโควิด-19 กระทบสองตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน
สตาร์บัคส์ยังเตือนว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3 อาจจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หนักกว่า แม้ยอดขายในจีนจะฟื้นตัวแล้วก็ตาม การประกาศดังกล่าวส่งผลให้หุ้นของสตาร์บัคส์ปรับตัวลดลงเกือบร้อยละ 2 ในระหว่างการขยายเวลาซื้อขาย
สตาร์บัคส์รายงานการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมทั่วโลกลดลงร้อยละ 10 ในช่วงไตรมาส 2 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 29 มี.ค.
โดยมีรายได้สุทธิ 328.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 663.2 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เมื่อตัดผลกำไร ขาดทุน หรือค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนที่ไม่เป็นไปตามปกติและไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจของบริษัทออกแล้ว บริษัทมีรายได้ 32 เซนต์ต่อหุ้น สอดคล้องกับการคาดการณ์ของวอลล์สตรีท
ส่วนในจีน ร้านสตาร์บัคส์ส่วนใหญ่ปิดให้บริการในไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันร้านกว่าร้อยละ 98 จะกลับมาเปิดแล้ว โดยปรับเปลี่ยนตารางการทำงาน แลเพิ่มมาตรการเพื่อความปลอดภัยเป็นพิเศษ ที่รวมถึงการจำกัดที่นั่งในร้าน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการระยะห่างทางสังคม
สตาร์บัคส์คาดการณ์ว่ายอดขายในจีนในไตรมาส 3 ในปัจจุบัน จะลดลงระหว่างร้อยละ 25 ถึง 30 ส่วนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมในช่วงไตรมาส 4 จะลดลงมากถึงร้อยละ 10 ก่อนที่จะอยู่ในสภาพไม่หวือหวานักในช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณในเดือนกันยายน ขณะที่การเติบโตของยอดขายสาขาเดิมตลอดทั้งปีในจีนจะลดลงร้อยละ 15 ถึง 25
อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์ไม่ได้คาดการณ์ยอดขายในตลาดสหรัฐฯ โดยระบุถึงสถานการณ์การระบาดในสหรัฐฯ แต่คาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทางการเงินครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาสที่ 3 และจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4
ส่วนยอดขายสุทธิลดลงร้อยละ 5 เป็น 6,000 ล้านดอลลาร์ หลังร้านสตาร์บัคส์ในสหรัฐฯ ปิดให้บริการราวครึ่งหนึ่ง ส่วนร้านที่ยังเปิดปรับไปให้บริการแบบซื้อกลับหรือเดลิเวอรีตั้งแต่เดือนมี.ค. เพื่อลดการรวมตัวของลูกค้า ส่วนในไตรมาส 3 คาดว่ายอดขายจะลดลงอีก 915 ล้านดอลลาร์
ด้านนายเควิน จอห์นสัน ซีอีโอของสตาร์บัคส์ กล่าวกับรอยเตอร์ว่า ร้านในสหรัฐฯ ราวร้อยละ 90 ควรกลับมาเปิดให้บริการภายในต้นเดือนมิถุนายน โดยจะมีมาตรการเพื่อความปลอดภัยเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ









