ซีอีโอของเงินติดล้อส่งจดหมายถึงผู้ถือหุ้น TIDLOR ยาวกว่า 29 หน้า ฟีดแบ็กของนักลงทุนหลายคนดูจะชอบใจ เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ และอยากสนับสนุนให้บริษัทอื่นๆ ลองทำดูด้วย
เมื่อปลายเดือน ก.พ. ‘ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล’ ซีอีโอของเงินติดล้อ หรือหุ้น TIDLOR ส่งจดหมายความยาวกว่า 29 หน้าถึงผู้ถือหุ้น พูดคุยรายละเอียดต่างๆ ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ ความเสี่ยง และประเด็นปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งกินใจนักลงทุนได้ไม่น้อย
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เงินติดล้อสร้างปรากฏการณ์ เพราะก่อนจะเข้าตลาดหุ้นเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน บริษัทฯ เคยปล่อยวีดีโอสั้นเล่าเหตุการณ์จริงที่โดนเหล่านักลงทุนจี้ถามถึงการเติบโตของธุรกิจในแง่ตัวเลข แต่อาจจะไม่เข้าใจแก่นแท้ของธุรกิจที่อยากช่วยให้คนตัวเล็กเข้าถึงบริการทางการเงิน
TODAY Bizview สรุปจดหมายยาว 29 หน้ามาให้อ่าน มีอะไรที่ซีอีโออยากสื่อสารบ้าง เรามาอ่านไปพร้อมๆ กัน
- 2565 เป็นอีกปีที่สร้างสถิติของเงินติดล้อ สินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น 30% มาอยู่ที่ 81,300 ล้านบาท เบี้ยประกันเพิ่มขึ้น 35% มาอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15% ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ 3,600 ล้านบาท สูงสุดในตลาด
- แต่นอกจากเรื่องกำไรแล้ว เงินติดล้อยังย้ำเรื่อง Financial Inclusion หรือการเข้าถึงบริการทางการเงิน เพราะเข้าใจว่า ตัวเลขกำไรที่ได้มา มาจากความลำบากของลูกค้า บางคนก็อยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีรายได้ไม่แน่นอน ต้องดิ้นรนหาเช้ากินค่ำ
- นอกจากข่าวดีแล้ว เงินติดล้อยังแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบถึงปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากระทบกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยที่สูงกว่าคาด ซึ่งกระทบต่อการคืนหนี้ของลูกค้า ค่าใช้จ่ายในการทำงานและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น กดดันให้ราคาหุ้น Non-bank ลดลง
- ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น ยังมีการพูดถึงการแข่งขันในตลาดที่เพิ่มขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่า ธนาคาร ทั้งธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐ ต่างก็ประกาศจะเข้ามาทำธุรกิจนี้
- เงินติดล้อยังคงเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่ดีในระยะยาว ซึ่งต่างจากการออกผลิตภัณฑ์ ‘ที่ฉาบฉวย’ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ยั่งยืน ถึงจะสร้างความตื่นเต้นได้ในระยะสั้นก็ตาม
- เงินติดล้อมีข้อกังวล (และผิดหวัง) ที่ผู้เล่นบางคนในอุตสาหกรรม เช่น กลุ่ม Fintech โฆษณาเรื่องอนุมัติไวเพราะไม่ต้องตรวจเครดิต ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อผิดๆ ว่า การตรวจเครดิตบูโรทำให้อนุมัติสินเชื่อช้า และสร้างความกลัวเรื่อง Blacklist ว่าทำให้คนประวัติไม่ดีขอสินเชื่อใหม่ไม่ได้
- ธุรกิจนายหน้าประกันภัย มีความสำคัญต่อเงินติดล้อมากขึ้นเรื่อยๆ จนแยกแบรนด์ใหม่เป็น ‘ประกันติดล้อ’ มีสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้รวม ซึ่งจะมาช่วยกระจายความเสี่ยงของธุรกิจสินเชื่อที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วง 2-3 ปีนี้
- ถ้าหลายคนจำกันได้ ในปีที่ผ่านมามีบริษัทประกันล้มละลาย ซึ่งเงินติดล้อก็ไม่ได้นิ่งดูดาย แต่ช่วยเหลือลูกค้าโดยเจรจากับบริษัทประกันที่เป็นพันธมิตรให้รับโอนกรมธรรม์ของลูกค้าที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- เงินติดล้อจริงใจกับนักลงทุน โดยยังตั้งสำรองหนี้ แม้ลูกค้าที่มีหนี้ค้างชำระจะเข้าโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ก็ตาม นอกจากนี้ ยังเลือกที่จะตั้งสำรองส่วนเกินเพื่อรับมือความเสี่ยง มากกว่าการเลือกลดเงินสำรองเพื่อสร้างตัวเลขกำไรสูงๆ อีกด้วย
- พูดถึงเรื่องเทคโนโลยี ที่เงินติดล้อต้องให้ความสำคัญกับการบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพราะเข้าใจว่าลูกค้าแต่ละช่วงอายุก็มีความคุ้นเคยในเทคโนโลยีที่ต่างกัน ลูกค้าที่มีอายุเยอะอาจจะไม่ถนัดทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล ลักษณะการให้บริการจึงเป็นแบบ Hybrid รวมกับหน้าสาขา
- แต่การลงทุนด้านเทคโนโลยี ถึงจะมีค่าใช้จ่ายสูงและอาจไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วงต้น แต่ถ้าทำสำเร็จ ‘ต้นทุนผันแปร’ จะกลายเป็น ‘ต้นทุนคงที่’ ซึ่งจะมาทำให้บริษัทเติบโตในระยะยาว
- ซีอีโอย้ำว่า ‘การลงทุนในเทคโนโลยีของบริษัทฯ จะไม่หมดลงในเร็ววันนี้ และอาจไม่มีวันนั้นด้วย’ เพราะการลงทุนในเทคโนโลยี เป็นสิ่งทีหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคนที่ปฎิเสธมันจะต้องมาเสียใจในระยะยาวอย่างแน่นอน
- ส่วนปี 2566 ถึงจะยังมีความเสี่ยงต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจเงินเฟ้อ ต้นทุนกู้ยืมสูง ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรของบริษัทฯ แต่เงินติดล้อยังเชื่อว่าจะยังเติบโตและรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดได้จากสิ่งที่ได้แชร์ไป
- ท้ายที่สุด ซีอีโอของเงินติดล้อบอกว่า ในฐานะผู้ดูแลเงินทุนของผู้ถือหุ้นเป็นหมื่นราย เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจนั้น โดยบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว แต่ก็พร้อมจะบริหารความเสี่ยงและเตรียมตัวให้พร้อมกับการขยายตัวทางธุรกิจเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม
สำหรับใครที่อ่านจดหมายฉบับเต็ม แวะไปอ่านได้ที่ www.tidlorinvestor.com/storage/content/download/20230224-tidlor-letter-to-shareholders-2023-th.pdf










