ผู้ว่าฯ ททท. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ โรงแรม ร้านค้า และประชาชนกว่า 500 ราย หลังพบเข้าข่ายมีพฤติกรรมการทุจริตโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’

วันที่ 16 ธ.ค. 2563 นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษพร้อมยื่นหลักฐานกับ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ณ สำนักงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาประกอบการดำเนินคดี หลังตรวจพบความผิดปกติของธุรกรรมการเงินในโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ โดยพบผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นประชาชน โรงแรม และร้านค้ากว่า 500 ราย ที่เข้าข่ายมีพฤติการณ์ทุจริตในรูปแบบต่างๆ
นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า รูปแบบโรงแรมที่พบเข้าข่ายทุจริตมากที่สุด คือ การเข้าเช็กอินในโรงแรมราคาถูก แต่ไม่ได้มีการเข้าพักจริง และขึ้นราคาค่าห้องพักสูงเกินจริง และเนื่องจากโครงการนี้เกี่ยวข้องกับการใช้แอบพลิเคชันธนาคาร จึงมองว่าผู้ประกอบการมีเจตนาทุจริตแต่แรก โรงแรมที่เข้าข่ายทุจริตกระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งโรงแรมหรือร้านค้าใดที่ถูกดำเนินคดีไปแล้ว ททท. ก็จะขึ้นแบล็คลิสต์ตัดสิทธิ์ไม่ให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าร่วมโครงการของรัฐต่อไปในอนาคต ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นในภาพรวม มองว่าเกิดขึ้นในวงจำกัด เนื่องจากมีโรงแรมเข้าข่ายทุจริต 312 แห่ง จากทั้งหมด 4,800 แห่ง และร้านค้า 202 แห่ง จากทั้งหมดกว่า 20,000 แห่ง ซึ่งนับเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมการเงินในโครงการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ ในช่วงที่ผ่านมา พบพฤติกรรมการทุจริตในหลากหลายส่วนด้วยกัน เช่น
1.การเข้าพักโรงแรมราคาถูก (โฮสเทล) เช็กอินเข้าโรงแรมแต่ไม่เข้าพัก ได้ประโยชน์จากการใช้สิทธิคูปอง โดยไปร้านค้าที่มีถุงเงินเพื่อนสแกนใช้ (การจองมีทั้งผ่าน/ไม่ผ่าน OTA)
2.โรงแรมขึ้นราคาค่าห้องพัก รู้เห็นเป็นใจกับร้านอาหารที่รับคูปอง (โรงแรมซื้อสิทธิ์) ไม่เกิดการเดินทางจริง โรงแรมมีถึงเงิน (ผู้ขายสิทธิ์เลขบัตรประชาชน 4 ตัวท้าย กับเบอร์โทรในการให้ OTP) รับเฉพาะส่วนต่าง 40% (จองกับโรงแรมตรง)
3.โรงแรมมีตัวตนแต่ปิดทำการ แต่ยังมีการขายห้องพัก (มีทั้งผ่าน / ไม่ผ่าน OTP)
4.ใช้ส่วนต่างคูปองเติมเงิน เพื่อให้ใช้คูปองที่ร้านนั้น
5.เข้าพักจริง เป็นกรุ๊ปเหมา ได้เงินทอน (โรงแรมรู้เห็น) (จองตรงกับโรงแรม)
6.Overcapacity โรงแรมมีห้องพักจำนวน 100 ห้อง เปิดขาย 300 ห้อง (จำนวนห้องพักเกิน) รวมทั้งมีการอัพเกรดให้ไปพักโรงแรมอื่นด้วย
ด้าน พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะมอบหมายให้กองปราบปรามดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที และจะตั้งชุดสืบสวนสอบสวนเพื่อพิจารณาดำเนินคดีนี้โดยเฉพาะ เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะให้แต่ละท้องที่เรียกผู้ประกอบการที่เข้าข่ายกระทำผิดมาสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งนี้หากผู้ประกอบการรายใด ยอมรับว่าตนเองกระทำผิดจริง ต้องการให้ปากคำกับตำรวจก่อนถูกดำเนินคดี ก็สามารถทำได้ และเนื่องจากความผิดที่เกิดขึ้นเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกง ซึ่งตามกฎหมายแล้ว สามารถยอมความได้หากมีการชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว










