ซีอีโอของ ‘ทีทีบี’ ประเมินหนี้เสียในระบบธนาคารจะเพิ่มขึ้นหลังจบมาตรการช่วยเหลือแบงก์ชาติ ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นจากคุณภาพหนี้เสื่อมถอย เทรนด์คนถูกยึดรถ-บ้าน
‘ปิติ ตัณฑเกษม’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ttb เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ประเมินตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบปีนี้ (2567) จะปรับตัวสูงขึ้น ภายหลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับตัวเลขหนี้เสียของ ttb ที่คาดว่าจะขยับขึ้นเช่นกัน แต่คาดว่าจะขยับขึ้นไม่มากอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่ผ่านมา ธนาคารฯ ได้บันทึกหนี้เสียเป็นที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามปกติ (Stage 3) ไม่ได้บันทึกเป็นหนี้พิเศษตามมาตรการช่วยเหลือแบงก์ชาติ
แต่แม้หนี้เสียในระบบจะเพิ่มขึ้น คาดว่าปริมาณการตั้งสำรองของธนาคารจะไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากแต่ละธนาคารมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (Coverage Ratio) อยู่ในระดับที่สูงกว่า 120% ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากแล้ว (ttb ก็มีอัตราการตั้งสำรองที่สูงที่ 155% ณ สิ้นปีก่อน)
สำหรับการปล่อยกู้ ยอมรับว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) ปรับเพิ่มขึ้นบ้าง เนื่องจากลูกหนี้ติดเครดิตบูโร (NCB) ซึ่งข้อมูลของ NCB ที่สะท้อนออกมาก็ไม่สู้ดีนัก เมื่อข้อมูล NCB เริ่มเสื่อมถอยลง คนที่สามารถเข้ามากู้เงินได้ก็ลดลง
เมื่อสอบถามถึงเทรนด์การยึดรถ-ยึดบ้าน ซีอีโอของ ttb ชี้ว่า ธนาคารมีการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ผ่านการปรับโครงสร้างต่างๆ เพื่อยืดหนี้ หรือลดภาระของลูกค้าลง เพื่อให้การยึดรถ-ยึดบ้าน เป็นปลายทางสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเทรนด์ดังกล่าวมีการเพิ่มขึ้น
ในส่วนของการแก้ไขปัญหา ttb มีแผนจับมือกับพันธมิตรเพื่อแก้ปัญหาหนี้ โดยพาร์ทเนอร์แรกที่มองไว้คือ ‘นายจ้าง’ เพื่อทำโครงการตรวจสุขภาพหนี้ รวมถึงออกแบบสวัสดิการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือพนักงานที่ดี อยู่กับบริษัทมานาน แต่อาจมีปัญหาทางด้านการเงิน
ในวันเดียวกัน ธนาคารเปิดเผยแผนปี 2567 โดยคาดว่าสินเชื่อจะทรงตัวจากปีก่อน (2566) ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) คาดว่าจะรักษาไว้ระหว่าง 3.10-3.25% อัตราค่าธรรมเนียมคาดว่าจะฟื้นตัว 1-3% และคาดว่าจะรักษาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไม่เกิน 2.90%
