ณ เวลานี้ เทรนด์การท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก คือการท่องเที่ยวเชิงดูแลสุขภาพ หรือ Wellness Tourism
การเที่ยวเชิงสุขภาพ ไม่ได้แปลว่า ต้องไปโรงพยาบาล แต่หมายถึงการเที่ยว ที่สามารถดูแลสุภาพจิต และ สุขภาพกายไปพร้อมกันด้วย
เช่น การนวดแผนโบราณ, การนั่งสมาธิ, โยคะ หรือ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ คือการท่องเที่ยวไม่ใช่ แค่เดินทางมาดู Tourist Attraction เท่านั้น แต่ สามารถทำสิ่งต่างๆ ไปควบคู่กันในทริปเดียว
ในอาเซียนของเรา ชาติที่ทำรายได้มากที่สุดจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คือ อินโดนีเซีย และมีแรงกิ้งอยู่อันดับ 19 ของโลก
ส่วนประเทศไทย อยู่อันดับ 3 ของอาเซียน มีแรงกิ้งอันดับ 24 ของโลก

สาเหตุที่อินโดนีเซียทำรายได้เยอะมากจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพราะพวกเขา มี “หัวหอก” ที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมาก นั่นคือ เกาะบาหลี
ที่ บาหลี เราอาจจะคิดถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ มังกี้ฟอเรสต์ ที่มีชื่อเสียง หรือ ศิลปะฮินดู-ชวา ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ ณ ตอนนี้ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พุ่งทะยานขึ้นมา จนได้รับความนิยมอย่างมาก
ที่บาหลี มีการเปิดตัว The Yoga Barn ศูนย์โยคะ ที่ตั้งอยู่ในเมืองอูบุด เป็นสถาบันโยคะที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน คือไม่ใช่แค่เล่นโยคะ แต่ยังมีคอร์สอบรมให้คุณกลายเป็นครูโยคะได้เลย
หรือ Pyramids of Chi (ปิรามิดส์ ออฟ ชิ) ศูนย์สุขภาพแนวใหม่ ที่ใช้การบำบัดด้วยเสียง เอาเครื่องดนตรีหลากหลาย ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน มาช่วยลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และ ปรับสมดุลของจักระ ในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมฝึกหายใจ การกำหนดว่าต้องหายใจแบบไหน ถึงจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น
รวมถึง Bali Silent Retreat ศูนย์สุขภาพที่เน้นความเงียบเป็นหลัก ทุกคนจะต้องใช้เวลากับตัวเองแบบปราศจากเสียงรบกวน
ด้วยไอเดียที่แปลกใหม่ ทำให้บาหลี มีจุดขายที่แข็งแรงเรื่อยๆ และไม่แปลกใจที่พวกเขา จะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยของเรา ก็ไม่ได้อยู่เฉยเช่นกัน มีความพยายามที่จะขยับตัวเองขึ้นเป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิง Wellness ทั้งภาครัฐ และเอกชนช่วยกันเต็มที่
ฝั่งภาครัฐ เช่น กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกแบบ “เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ” เช่น แนะนำนักท่องเที่ยวว่า ถ้าเดินทางไปที่จังหวัดตราด แบบ 2 วัน 1 คืน ในสไตล์ Wellness ต้องเดินทางไปไหนบ้าง
รวมถึงมีการมอบรางวัล Thai World Class Spa เพื่อเชิดชู ธุรกิจที่ทำงานด้านการประกอบการสปา ให้มีมาตรฐานระดับสากล
ส่วนฝั่งภาคเอกชนเอง ก็มีความตั้งใจในรูปแบบของตัวเองเช่นกัน กรณีศึกษาที่ดี คือ แบรนด์เทวาศรม (Devasom) หนึ่งในรีสอร์ทที่ดีที่สุดของไทย มีกลยุทธ์ในเรื่องนี้

เทวาศรม เป็นที่รู้จักกันของนักท่องเที่ยว เมื่อเปิดตัวรีสอร์ทที่หัวหิน ในปี 2010 แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็เปิดอีกหนึ่งรีสอร์ท โดยตั้งอยู่ที่เขาหลัก ในจังหวัดพังงา ซึ่งติดมหาสมุทรฝั่งทะเลอันดามัน
เรื่องความหรูหรา สวยงามไม่ต้องพูดถึง เทวาศรม คือโรงแรมระดับ 5 ดาวอยู่แล้ว มีทั้งห้องเดี่ยว ขนาด 54 ตารางเมตร ไปจนถึงวิลล่าขนาด 430 ตารางเมตร ทุกห้องสามารถเห็นวิวทะเลได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ทางแบรนด์ได้สอดแทรก การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเข้าไปด้วย เช่น การจัดอีเวนต์ Devasom Sol Festival เป็นระยะเวลา 11 วันขึ้น

โดยในงานนี้ เป็นการรวมตัวคลาส และกิจกรรมเวิร์คช็อป มากกว่า 90 คลาส ทำกิจกรรมพิเศษ เพื่อให้แขกที่เข้าพัก ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ และดูแลสุขภาพไปพร้อมๆ กัน
เซสชั่นการเวิร์คชอป เพื่อสุขภาพเช่น
– การทำ Aqua Sound Bath เป็นคลาสฮีลร่างกาย ตอนที่ร่างกายอยู่ในน้ำ เพื่อช่วยให้สมองมีสมาธิมากขึ้น
– Ice Bath แช่ตัวในน้ำแข็ง พร้อมๆ กับฝึกกำหนดลมหายใจ
– Asemic Writing การเขียนแบบไม่มีความหมาย ไม่มีเนื้อหาที่ชัดเจน เพื่อปลดปล่อยตัวตน และจิตใจออกมา

เราจะเห็นได้เลยว่า ภาคเอกชน อย่างรีสอร์ทหรู ก็สามารถสอดแทรก กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเข้าไปได้ เพื่อสร้างจุดขาย และเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวให้มากขึ้น
สำหรับประเทศไทยตอนนี้ ต้องยอมรับว่า ในภาพรวม นักท่องเที่ยวเราลดลง ดังนั้นเป็นความท้าทายให้คนในอุตสาหกรรม ได้เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวที่มีอยู่ ให้เติบโตยิ่งขึ้น
และถ้าเราทำดีๆ Wellness Tourism ก็อาจเป็นอีกหนึ่งอาวุธ เป็นฮีโร่โปรดักต์ที่ช่วยให้การท่องเที่ยวไทย แข็งแรงขึ้นได้อย่างแน่นอน











