วิธีดึงนักท่องเที่ยวอยู่ไทยนานขึ้น จับเทรนด์ ‘Wellness Tourism’ ‘ชีวาศรม’ แขกพักสูงสุด 6 เดือน

วิธีดึงนักท่องเที่ยวอยู่ไทยนานขึ้น จับเทรนด์ ‘Wellness Tourism’ ‘ชีวาศรม’ แขกพักสูงสุด 6 เดือน

ธุรกิจ

ประเทศไทยขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางของโลกมานาน โดยไทยมีอัตราการเติบโตสูงเป็นอันดับหนึ่งในด้าน Wellness Tourism หรือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ระหว่างปี 2023-2024 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท (ข้อมูลจาก Global Wellness Institute: GWI)

GWI ยังระบุว่าตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลกปี 2025 คาดว่าจะมีมูลค่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 230 ล้านล้านบาท ส่วนตลาด Wellness Tourism ทั่วโลกเติบโตเร็วมากกว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วไปเกือบ 2 เท่า ซึ่งเทรนด์นี้ชัดขึ้นเรื่อยๆ

งานเสวนา “Thailand Wellness Tourism: From Longevity Economy to Lifestyle for All” ที่จัดโดยเคทีซี หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้เผยมุมมองน่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

โดยมีธุรกิจของคนไทยที่ทำเรื่องนี้ได้ดี หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ชีวาศรม’ รีสอร์ตเพื่อสุขภาพแห่งแรกของประเทศไทยที่ก่อตั้งเมื่อ 30 ปีก่อนที่หัวหิน จากเดิมที่เป็นแค่บ้านพักตากอากาศทั่วไป นอกจากนี้ รีสอร์ตแห่งนี้ยังเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘เบอร์หนึ่ง’ ของโลกในด้านสุขภาพแบบองค์รวม จากนิตยสารและโพลของนักท่องเที่ยว เช่น Condé Nast Traveller และ Tatler Spa Awards

[ ลูกค้าใช้จ่ายสูงสุด ‘หลักแสน’ พักนานสุด 6 เดือน ]

มีความเชื่อมากมายจากทีมผู้บริหารของชีวาศรม ที่เลือกวาง positioning ธุรกิจให้เป็นที่พักที่ดีที่สุดสำหรับผู้มาพัก แทนที่จะเป็นรีสอร์ตที่มีสาขามากที่สุด

กรด โรจนเสถียร ที่ปรึกษาประธานบริหารและประธานกรรมการ ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท ได้กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้าชีวาศรม 80% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 20% เป็นนักท่องเที่ยวไทย เพิ่มขึ้นจากก่อนที่มีโควิด ซึ่งตอนนั้นมีไม่ถึง 2%

โดยกลุ่มหลักที่เป็นลูกค้าชีวาศรมคือ Gen X (46–60 ปี) รองลงมาคือ Gen Y (31–45 ปี) ที่นิยมท่องเที่ยวและดูแลสุขภาพแบบองค์รวมไปด้วย

ที่ผ่านมากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาพักชีวาศรม มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000–100,000 บาทต่อคนต่อทริป อีกทั้งยังมีแนวโน้มพักระยะยาวมากขึ้น ตั้งแต่ 7 คืนจนถึง 3 เดือน และบางรายเลือกที่จะอยู่นานถึง 6 เดือน

ตัวอย่างกิจกรรมยอดนิยมที่ชีวาศรม เรียกว่าเป็นกิจกรรมที่ผู้มาพักชอบใช้บริการ และเป็นหนึ่งใน core business ที่ทำให้ลูกค้าหลายคนตัดสินใจพักที่รีสอร์ตนานขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการท่องเที่ยว และต้องการดูแลสุขภาพในคราเดียว

  • โยคะ
  • ไทชิ
  • แอโรบิก
  • การออกกำลังกายในน้ำ
  • ทรีตเมนต์สปา
  • ทรีตเมนต์เพื่อขับสารพิษ
  • การทำอาหารสุขภาพ
  • การฝึกหายใจ

กรด ยังบอกอีกว่า “เสน่ห์ความเป็นไทย ถือเป็นหัวใจในการสร้างความแตกต่างในตลาด Wellness Tourism ได้อย่างดี เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งครบ ตั้งแต่อาหารสุขภาพ สมุนไพร การแพทย์แผนไทย และวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ประสบการณ์สำหรับนักท่องเที่ยว แต่เป็นความประทับใจ ที่เทิร์นไปสู่รายได้ที่ยั่งยืนของชุมชนได้”

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยได้ ต้องใช้เสน่ห์ความเป็นไทย เป็นตัวดึงดูดเพราะผู้คนทั่วโลกต่างก็คำนึงเรื่องสุขภาพมากขึ้นในยุคนี้ การท่องเที่ยวถือเป็นการปรับพฤติกรรม และเสพโมเมนต์​เชิงสุขภาพได้อย่างเต็มที่”

[ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ]

ทำไมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่พัก สายการบิน ร้านอาหาร แม้แต่กิจกรรมด้านสุขภาพต่างๆ จำเป็นต้องรู้ว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยมีการใช้จ่ายต่างกัน อยู่ที่ว่าแต่ละธุรกิจอยากจะโฟกัสที่กลุ่มไหน หรือวางกลยุทธ์อย่างไร เพื่อสามารถเข้าถึงนักเดินทางได้ทั้ง 2 กลุ่ม

ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และที่ปรึกษา BDMS Wellness เผยข้อมูลน่าสนใจว่า แนวคิด Well-being ได้กลายเป็นไลฟ์สไตล์สำคัญ และหลายธุรกิจต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) บ้างแล้ว

โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • ผู้ที่เดินทางเพื่อสุขภาพโดยตรง (Primary Wellness Tourism) โดยคนกลุ่มนี้จะมียอดใช้จ่ายสูง แต่มีสัดส่วนน้อยกว่าท่องเที่ยวทั่วไปราว 15%
  • ผู้ที่ท่องเที่ยวทั่วไป แต่มีการใช้จ่ายด้านสุขภาพเสริมระหว่างทริป (Secondary Wellness Tourism) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่มีสัดส่วน 85%

ไทยมีศักยภาพสูงมากๆ ในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แต่โจทย์ก็คือ เราจะทำอย่างไรให้กลุ่มนักท่องเที่ยวพักอยู่ในไทยนานขึ้น และใช้จ่ายเรื่องสุขภาพและรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากที่สุด

สำหรับภูมิศักดิ์ เขามองว่า “wellness ไม่ใช่ลักชัวรี แต่เป็นเรื่องเบสิกของทุกคน มันคือการนอนหลับเต็มอิ่ม, อาหารดีต่อสุขภาพ และมีวินัยเรื่องการออกกำลังกาย”

สิ่งเสริมอื่นๆ เช่น กิจกรรม บรรยากาศ ความหลากหลายของอาหาร หรือวัฒนธรรมที่เป็นเส่นห์ของเมืองไทย ล้วนทำให้เกิด wellness economy สำหรับไทยได้ รวมถึงรายได้ที่ยั่งยืนด้วย แต่ธุรกิจต้องดึงจุดเด่นของตัวเองให้ได้

หากประเทศไทยต้องการเป็น Wellness Destination ระดับโลก สิ่งที่เราต้องเร่งก็คือ การขยายฐานกลุ่ม Primary ที่ตอนนี้มีแค่ 15% ผ่านการสร้าง ecosystem ที่ครบวงจร ตั้งแต่นโยบายรัฐ มาตรฐานบริการ แพ็กเกจท่องเที่ยวสุขภาพแบบบูรณาการ

ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ต้องเจาะตลาดกลุ่ม Gen Z (13–28 ปี) ซึ่งเป็นนักเดินทางรุ่นใหม่ที่พร้อมลงทุนเพื่อประสบการณ์สุขภาพและคุณภาพชีวิตของตัวเอง

ขณะที่ ‘วริษฐา พัฒนรัชต์’ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต เคทีซี กล่าวเพิ่มว่าที่ผ่านมา มียอดใช้จ่ายในโรงแรมที่เน้นเรื่อง wellness มียอดใช้จ่ายต่อครั้งสูงกว่าโรงแรมทั่วไป 1.88 เท่า ทั้งยังเห็นสัญญาณการใช้จ่ายเพื่อสุขภาพของกลุ่มคนอายุ 30–35 ปี เพิ่มขึ้น มองว่ากิจกรรมและธุรกิจที่อยู่ใน ecosystem ของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีโอกาสเติบโต และกลุ่มเป้าหมายแทบจะทุกกลุ่มที่สนใจเรื่องนี้ ดังนั้น หลายๆ ฝ่ายในไทยคงต้องช่วยกันขับเคลื่อนเครื่องมือใหม่นี้ เพื่อทำให้ไทยก้าวสู่ Wellness Destination อย่างสมบูรณ์

Prakaiporn WriterPrakaiporn

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง