ตามรายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2567 พบว่า GDP เติบโตอยู่ที่ 2.6% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เพราะได้ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี แต่ถึงอย่างนั้นในภาพรวมเศรษฐกิจไทยก็ยังโตช้ากว่าประ เทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น มาเลเซียและฟิลิปปินส์
เหตุผลก็มาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบไปถึงการปล่อยสินเชื่อ และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า แม้จะพยายามเร่งรัดแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะฟื้นภาพรวมทั้งเศรษฐกิจ
ส่วนปี 2568 World Bank มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้น หรือคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 2.9% โดยจะเติบโตจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก เพราะนักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน จาก 35.3 ล้านคนในปี 2567
การบริโภคภาคเอกชนจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการเงินดิจิทัลประเมินเบื้องตันคาดว่ามีส่วนช่วยให้ GDP เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากการเติบโตที่ชะลอตัวในตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาและจีนอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำนั้นมีมากมาย โดย World Bank ได้ประเมินสถานการณ์พร้อมข้อเสนอแนะนำสำหรับประเทศไทย ผ่าน The Thailand Economic Monitor 2025 ซึ่งรายงานฉบับนี้เน้นไปที่การปลดล็อกศักยภาพการเติบโตของ SMEs และสตาร์ทอัพ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยให้คำแนะนำหลัก 4 ด้าน ได้แก่
1.เพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
- ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้ SMEs และสตาร์ทอัพเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
- ส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชน เช่น กองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) และการออกตราสารหนี
2.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนธุรกิจใหม่
- สร้างศูนย์นวัตกรรมและเครือข่ายสนับสนุนสตาร์ทอัพ
- ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ
3.พัฒนาทักษะและศักยภาพแรงงาน
- ส่งเสริมการศึกษาและฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม
- กระตุ้นให้ภาคธุรกิจและมหาวิทยาลัยทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาด
4.ปรับปรุงกฎระเบียบและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
- ลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบที่ขัดขวางการเติบโตของ SMEs และสตาร์ทอัพ
- ปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและการทำธุรกรรมดิจิทัล
นอกจากนี้ ในด้านภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ทั้งการคลังและโครงสร้างเศรษฐกิจ World Bank ได้วิเคราะห์และให้ข้อเสนอแนะ ดังนี้
เพิ่มความยืดหยุ่นนโยบายการคลัง เพราะในปีนี้การคลังต้องเจอกับ 3 ความท้าทายที่สำคัญ คือสวัสดิการผู้สูงอายุ การกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาระดับหนี้สาธารณะ สำหรับข้อเสนอแนะมีดังนี้
- ปรับลดการอุดหนุนพลังงานที่ไม่เป็นธรรมต่อการกระจายรายได้ โดยควรเปลี่ยนไปเน้นการให้ความช่วยเหลือทางสังคมและการโอนเงินแบบมุ่งเป้ามากขึ้นเพื่อสนับสนุนครัวเรือนที่เปราะบาง
- เพิ่มรายได้จากภาษีส่งเสริมการลดความเหลื่อมล้ำ เช่น การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและการนำมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้ ร่วมกัน เป็นต้น
- เร่งการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีใหม่และทุนมนุษย์ที่สนับสนุนและส่งเสริมซึ่งกันและกัน จะสามารถดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนและกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ
ปฏิรูปโครงสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ความสามารถในการแข่งขันที่น้อยจะทำให้ประเทศไทยอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2580 ได้การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจึงเป็นปัจจัยสำคัญ
- เพิ่มการแข่งขันในตลาดภายในประเทศ ช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด ปรับปรุงกรอบการกำกับดูแล และเพิ่มความยืดหยุ่นของตลาดแรงงาน จะช่วยให้บริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถเติบโตและขยายกิจการได้
- สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตที่ดีและมีคุณภาพมากขึ้น
ในอดีตประเทศไทยเคยเอาชนะความท้าทายต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง และกำลังยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมาตลอด 50 ปีที่ แต่เชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายครั้งนี้ไปได้เช่นกัน
ซึ่งการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะช่วยให้ประเทศไทยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจโลกที่ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว










