ธนาคารโลกออกรายงานความเหลื่อมล้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าตัวเลขประชากรไทยที่อยู่ใต้เส้นความยากจนเพิ่มขึ้นจาก 7.2% ระหว่างปี 2558-2561 ผ่านมา 3 ปี ปัจจุบันตัวเลขเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.8% ซึ่งคิดเป็นหัวแล้วมีคนยากคนจนอยู่ในปัจจุบันมากกว่า 6.7 ล้านคน จากที่เคยมีแค่ 4.8 ล้านคน
ตัวเลขนี้ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อัตราความยากจนเพิ่มสูงขึ้นขนาดนี้ในช่วงหลังปี 2543

ในระดับภูมิภาค
-3 ปีที่ผ่านมา คนภาคกลาง-อีสาน มีคนจนเพิ่มขึ้น 5 แสนคน
-ปีนี้เป็นปีแรกที่ภาคที่มีอัตราคนจนมากที่สุดไม่ใช่ภาคอีสาน แต่เป็นภาคใต้
-จังหวัดที่คนจนมากที่สุดคือ แม่ฮ่องสอน ปัตตานี กาฬสินธุ์ นราธิวาส ตาก
เบอร์กิต ฮานส์ ผู้จัดการของธนาคารโลกที่ดูแลประเทศไทยระบุในรายงานดังกล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจบ้าง แต่แนวโน้มความยากจนล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนก็ยังอยู่ในสภาพเปราะบางและอ่อนแอ
รายงานของธนาคารโลกบอกว่าสาเหตุที่ตัวเลขตกต่ำแบบนี้มีหลายอย่าง เช่น
1)สภาพเศรษฐกิจ
-อัตราการเติบโตไทยต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่อื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
-ไทยมี GDP แค่ 2.7% ถือว่าต่ำสุดในภูมิภาค (ตุลาคม 2562)
-การส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนตัวลง
2)สิ่งแวดล้อม
-ภาวะภัยแล้งส่งผลต่อเกษตรกรที่จนที่สุดให้จนลงไปอีก
3)โรคระบาด
-อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหดตัว
รายงานชุดนี้บอกว่าทางที่ไทยจะกลายเป็นประเทศรายได้สูงให้ได้อย่างที่หวัง ครัวเรือนไทยต้องได้รับการปกป้องจากรัฐบาลมากกว่านี้ไม่ให้เกิดภาวะรายรับสะดุด เช่นในกรณีล้มป่วย ตกงาน หรือมีภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ก็ต้องโฟกัสการสร้างงานที่ให้รายได้สูงกว่านี้ มีการกระจายความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือต้องลงทุนกับเด็กมากขึ้น ให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคเพื่อให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักความยากจนจากคนรุ่นก่อน