ประเด็นคือ – กมธ.ร่วม กฏหมายลูก 2 ฉบับ เริ่มประชุมนัดแรกเพื่อเลือก ประธาน พร้อมพิจารณาข้อโต้แย้งให้เสร็จภาพใน 15 วัน
วันที่ 19 ก.พ. 2561 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. หรือกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย เริ่มประชุมนัดแรกวันนี้เมื่อเวลา 13.30 น. โดยจะมีการเลือกประธาน – รองประธาน และโฆษกของกรรมาธิการฯ จากนั้น จะเป็นการพิจารณาทบทวนประเด็นที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีข้อโต้แย้งรวมทั้งสิ้น 9 ประเด็น เช่น การเปิดให้มีการจัดมหรสพระหว่างการหาเสียง และการจำกัดสิทธิ์ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง สำหรับผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การแยกเบอร์ผู้สมัครได้แต่ละเขตไม่ซ้ำเบอร์กัน เป็นต้น
(แฟ้มภาพ)
ขณะที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีหลายประเด็น อาทิ การเปิดให้มีการจัดมหรสพระหว่างการหาเสียง การให้ผู้อื่นกาบัตรลงคะแนนให้คนพิการ หรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ และการจำกัดสิทธิ์ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองสำหรับผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ทั้งนี้ กรรมาธิการทั้ง 2 คณะ จะมีเวลาในการพิจารณาปรับแก้ไขร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนส่งให้ สนช. ลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายที่กรรมาธิการร่วมปรับแก้ หาก สนช. มีมติไม่เห็นชอบเกิน 2 ใน 3 ของสมาชิก จะส่งผลให้ร่างกฎหมายเป็นอันตกไป และต้องเริ่มกระบวนการยกร่างใหม่ หรือหาก สนช. มีมติให้ความเห็นชอบ ประธาน สนช. ก็จะส่งร่างกฎหมายให้นายกรัฐมนตรี เตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป
ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน โฆษกกมธ. วิสามัญฯ ร่าง พ.ร.ป. ส.ส. ของ สนช.
ด้านนายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. กล่าวว่า ประเด็นหลักๆ ที่ กมธ.ร่วมจะพิจารณาทบทวน คือ การลดจำนวนกลุ่มอาชีพ ส.ว.จาก 20 กลุ่ม เหลือ 10 กลุ่ม การเปลี่ยนวิธีเลือก ส.ว.จากการเลือกไขว้เป็นเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ ที่มา ส.ว.จากการสมัครโดยอิสระ และหน่วยงานเสนอชื่อมา แต่ กมธ.ร่วมคงต้องมาหารือกันก่อนว่า จะแก้ประเด็นใดบ้าง ส่วนที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงเรื่องเนื้อหาในร่าง พ.ร.ป.นี้จะมีการโต้แย้งกันอย่างหนัก แต่ถ้า กมธ.ร่วมได้คุยกันจริงๆ เชื่อว่าจะหาทางออกร่วมกันได้ในชั้นนี้
นายทวีศักดิ์ มั่นใจว่า กมธ.ทุกคนมีความรับผิดชอบ และเป็นผู้ใหญ่ พร้อมยืนยันว่า กมธ.ร่วมทำหน้าที่โดยยึดหลักเหตุผล ไม่ได้เข้ามาแบบมีธง เพื่อทำให้เกิดปัญหาให้มีการคว่ำกฎหมายลูกในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
