
มีความเคลื่อนไหวต่อเนื่องในระดับภูมิภาคในการคัดค้านการส่งเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตส่งเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน หลังจากที่คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนคนพิการ เห็นชอบนำเงินกองทุนฯ ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยจะส่งงวดแรก 500 ล้านภายใน พ.ค. 61
ล่าสุดเช้าวันนี้ (18 พ.ค. 61) ตัวแทนคนพิการใน จ.เชียงใหม่ นำรายชื่อคนพิการกว่า 1,000 รายชื่อ เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง ผวจ.เชียงใหม่ เพื่อแสดงออกถึงการคัดค้านการนำเงินกองทุนฯ เข้ากระทรวงการคลัง โดยแสดงความกังวลว่าเงินในกองทุนฯ ที่ลดลง จะส่งผลกระทบต่อการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของคนพิการทุกประเภททั่วทั้งประเทศ

นายธนิก บอกว่า เงินในกองทุนฯ เกือบทั้งหมดมาจากนายจ้างที่ส่งเงินเข้ากองทุน เนื่องจากไม่ได้จ้างงานคนพิการตามกฎหมาย กองทุนนี้คนพิการทั่วประเทศได้ใช้ประโยชน์ในการกู้ยืมมาประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และในขณะนี้ผู้พิการจำนวนมากได้ทราบถึงสิทธิประโยชน์จากกองทุนและมีความต้องการกู้เงินเพื่อประกอบอาชีพเป็นจำนวนมาก
กลุ่มคนพิการใน จ.เชียงใหม่ จึงไม่เห็นด้วยที่กระทรวงการคลังจะนำเงินจากกองทุนฯ ไป โดยอ้างว่าเป็นเงินสภาพคล่องที่เกินความจำเป็น ซึ่ง 2,000 ล้านบาท เป็นจำนวนเงินที่คนพิการจะใช้ประโยชน์ได้มาก รวมทั้งยังกังวลว่าจะมีการโอนเงินล็อตสองเพิ่มอีก จึงรวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือ พก. เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการคัดค้าน

ขณะที่นางศิวาพร วิรัชลาภ ผู้อำนวยการศูนย์บริการคนพิการ จ.เชียงใหม่ ที่รับหนังสือจากกลุ่มคนพิการในวันนี้ บอกว่า จะส่งหนังสือพร้อมรายชื่อคัดค้านไปถึงอธิบดีกรม พก. พร้อมระบุว่า ปัจจุบันมีคนพิการทุกกลุ่มในประเทศไทยกว่า 1.7 ล้านคน ส่วนใน จ.เชียงใหม่ มีอยู่ประมาณ 4.6 หมื่นคน ซึ่งจำนวนคนพิการที่มีมากทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของจำนวนเงินในกองทุนที่ลดน้อยลง โดยกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อเงินกู้และเบี้ยคนพิการในอนาคต
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 60 สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรม พก. เพื่อให้เหตุผลในการคัดค้านประเด็นส่งเงินกองทุนฯ เข้าคลัง เป็นรายได้แผ่นดินไว้ 4 ข้อ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้รับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 60 จึงควรรอให้ศาลได้พิจารณาตามคำฟ้องให้เสร็จสิ้นกระบวนการเสียก่อน

นอกจากนี้ การที่คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนฯ มีมติให้นำเงินของกองทุนฯ ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเป็นจำนวนถึง 2,000 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณาของ กพช. ก่อน ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะขาดการพิจารณาแผนงานหรือโครงการที่มีวงเงินขอรับการสนับสนุนเกินกว่า 30 ล้านบาทจากกองทุนฯ
อีกประเด็นสำคัญก็คือ คนพิการและผู้ดูแลคนพิการทั่วประเทศที่ได้ยื่นคำขอกู้ยืมเงินเพื่อประกอบอาชีพจากกองทุนฯ ยังไม่ได้รับเงินกู้เพื่อประกอบอาชีพจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทบทวนและยุติการโอนเงินเข้าคลัง









