ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เตรียมดำเนินคดีฟ้อง BBC สื่อสาธารณะของอังกฤษ เป็นเงินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 32,000 ล้านบาท สำหรับค่าเสียหายจากการที่ BBC เผยแพร่รายการโดยตัดต่อเสียงกล่าวสุนทรพจน์ของทรัมป์ ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นการยุยง จนนำไปสู่เหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อปี 2021
เมื่อองค์กรข่าวระดับโลกที่อยู่ได้ด้วย ‘ความน่าเชื่อถือ’ กลับถูกสังคมตั้งคำถาม หนทางของสื่อสาธารณะจะเป็นอย่างไร รายการ HEADLINE สำนักข่าว TODAY ชวน นพพร วงศ์อนันต์ อดีตบรรณาธิการบีบีซีไทย
[เกิดอะไรขึ้นระหว่าง BBC กับ ทรัมป์?]
หากติดตามข่าวต่างประเทศ หนึ่งในเรื่องที่การเป็นพาดหัวใหญ่คือการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับ BBC เรียกค่าเสียหายกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เรื่องนี้ทำให้ผู้อำนวยการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายข่าวของ BBC ลาออกจากตำแหน่งไปพร้อมกัน
ปมร้อนที่ว่านี้มีที่มาจากการที่สารคดีพาโนรามา (Panorama) ตอน Trump: A Second Chance ซึ่งออกอากาศเพียง 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด ถูกกล่าวหาว่ามีการตัดต่อสุนทรพจน์ของทรัมป์ สองส่วนเข้าด้วยกัน แต่แท้จริงแล้วเขาพูดห่างกันมากกว่า 50 นาที จนทำให้เกิดการตีความที่อาจดูเหมือนว่า ทรัมป์กำลังยุยงให้ผู้คนโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ
นพพร วงศ์อนันต์ อดีตบรรณาธิการบีบีซีไทย ระบุว่า BBC จะมีคณะกรรมการกำกับดูแลด้านจรรยาบรรณ หรือ Editorial Guildline and Standard ซึ่งกรรมการอิสระคนหนึ่งชื่อ ไมเคิล เพรสก็อตต์ ได้เขียนรายงานขึ้นมาก่อนจะลาออก โดยอ้างว่าทนไม่ได้ที่ปัญหาต่างๆ ที่เขาเห็นไม่ได้รับการแก้ไข ต่อมามีการเปิดโปงต่อสาธารณะโดยหนังสือพิมพ์ The Telegraph
แม้ว่าจะมีการสอบสวนภายใน และข้อโต้แย้งต่อข้อกล่าวหา แต่ก็นำมาสู่การออกแถลงการณ์ขอโทษจาก BBC และการลาออกของ ทิม เดวี ผู้อำนวยการใหญ่ของ BBC และเดโบราห์ เทอร์เนสส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายข่าว แต่ BBC ยังคงปฏิเสธที่จะจ่ายค่าชดเชย ทำให้การดำเนินคดีต้องติดตามกันต่อไป
[หรือจะเป็นขบวนการของ ‘ฝ่ายขวา’ ?]
กรณี BBC ทำให้เกิดคำถามถึงจุดยืนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Impartiality) ของ BBC เช่นในกรณีการรายงานข่าวความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งในรายงานของเพรสก็อตต์ ก็ได้ร้องเรียนเรื่องการนำผู้แสดงความเห็น (Contributor) ที่เกลียดชังอิสราเอลมาออกรายการบ่อย และวิจารณ์ว่าการเผยแพร่ข่าวที่อิสราเอลถูกโจมตีน้อย
ข้อวิจารณ์เหล่านี้หากมองในภาพใหญ่ขึ้น อดีตบรรณาธิการบีบีซีไทยฉายภาพให้เห็นว่า ในฐานะของสื่อต้องตรวจสอบรัฐบาล และก่อนหน้านี้พรรคอนุรักษนิยม (Conservative) อยู่ในอำนาจมา 14 ปี เมื่อตรวจสอบรัฐบาลมากเลยทำให้รู้สึกว่า BBC เกลียดพรรคอนุรักษนิยม
“ฝ่าย Conservative รู้สึกว่า BBC มันโวค (Woke) เกินไปแล้ว มันซ้ายมากรับไม่ได้ แล้วก็ถ้าเราไปดูพวกคนที่ไม่ชอบผู้อพยพ หรือฝ่ายขวาจัดทั้งหลาย ก็จะบอกว่าไม่ฟัง BBC BBC Fakenews อะไรแบบนี้ก็จะมีมาเรื่อยๆ ทรัมป์ก็ไม่ชอบใช่ไหม เพราะฉะนั้นฝั่ง BBC เองก็บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถ้ามันมีปัญหาฉันพร้อมจะแก้ไข แต่บางทีการแก้ไข การชี้แจง มันอาจจะไม่ไม่ได้ทันท่วงที ขณะที่ฝั่งไม่ชอบ BBC ก็จะบอกว่า นี่ไงมันฝังรากลึกอยู่ในองค์กร มันต้องแก้ไขทั้งระบบ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นวิกฤตนี้มันเป็นโอกาสที่ที่ฝ่ายขวาจะช่วยกันมาขย่ม” นพพร กล่าว
นพพรเล่าต่อว่าขณะที่สื่อ ‘ฝ่ายซ้าย’ อย่าง The Observer และ The Guardian ก็บอกว่านี่เป็นเรื่องของการยึดอำนาจ เป็นการจับมือกันของฝ่ายขวามาเขย่า BBC พร้อมกับตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งคณะกรรมการ อย่าง เพรสก็อตต์ ผู้ที่เขียนรายงานร้องเรียนดังกล่าว ก็คือตัวแทนบอร์ดที่ บอริส จอห์นสัน อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคอนุรักษ์นิยมได้แต่งตั้งไว้ ทำให้วิจารณ์ว่าปัญหานี้ต้องปรับใหม่โดยให้คณะกรรมการมีความเป็นอิสระมากขึ้น
[เมื่อความน่าเชื่อถือถูกทำลาย]
นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเด็นขัดแย้งระหว่าง ทรัมป์ และ BBC เท่านั้น แต่กระทบถึงความน่าเชื่อถือของสื่อสาธารณะระดับโลก นพพร ระบุว่าองค์กรสื่ออายุ 103 ปี นี้ แทบจะเป็น ‘Soft Power’ ตัวจริงของอังกฤษ ผลสำรวจจากรายงานประจำปีเมื่อเดินกรกฎาคมระบุว่าคนยังเชื่อถือ BBC กว่า 45%
“ผมว่าเรื่องใหญ่ที่สุด ซึ่ง BBC พยายามชูมาตลอด แล้วก็หลายๆ สื่อทั่วโลกพยายามจะชูมาตลอด ก็เลยคือเรื่องของความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องของข้อเท็จจริงของข่าวที่นำมาเสนอ BBC ถูกตีในจุดที่เป็นจุดตายของเขา” นพพร กล่าว
ในฐานะอดีตบรรณาธิการบีบีซีไทย ซึ่งเคยทำงานในบีบีซี แต่ปัจจุบันมองจากเลนส์คนนอก นพพรให้ความเห็นว่า BBC ใหญ่เกินกว่าจะล้ม และทุกวันนี้ก็ยังมีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าอะไรที่ BBC ยังไม่รายงาน ก็ยังไม่ใช่ข่าวจริง นี่คือความภาคภูมิใจของคนอังกฤษ และอาจไม่ยอมปล่อยให้ล่มสลายไปง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม BBC ก็เผชิญกับความไม่แน่นอนของแหล่งรายได้ เนื่องจากที่ผ่านมาแหล่งรายได้ของ BBC กว่า 75% คือการเก็บค่า TV License Fee แต่รายงานประจำปีล่าสุดของ BBC ระบุว่ายอดคนจ่ายเงินหายไปกว่า 300,000 คน นี่เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สื่อสาธารณะต้องเผชิญ ขณะที่เงินสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษที่ถือเป็นเงินให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศในการดำเนินการ BBC World Service ก็สั่นคลอน
BBC ตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 จะยกเลิกการออกอากาศวิทยุและโทรทัศน์ผ่านการกระจายคลื่นภาคพื้นดิน และหันไปเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ตแทน นี่ทำให้เกิดแนวคิดการเก็บเงินค่าอินเทอร์เน็ตตามบ้าน แต่ก็ยังไม่ใช่แนวคิดที่ตกผลึกชัดเจนนัก แต่ก็ใกล้ถึงเวลาต้องหาทางออก เนื่องจากธรรมนูญ ซึ่งใช้เป็นหลักกำกับทิศทางบีบีซีฉบับปัจจุบันจะหมดอายุในปี 2027 นี้










