
หลังการนับคะแนนการเลือกตั้ง ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย และปิดที่ “ลบ 14 จุด” ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลมีเสถียรภาพต่ำและฝ่ายค้านแข็งแกร่ง รวมทั้งต้องเผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า ปกติตลาดหุ้นไทยมักตอบรับในทางบวกหลังการเลือกตั้งทั่วไป แต่ครั้งนี้ยังต้องจับตา เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการเป็น “ประชาธิปไตย” และผลการเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐได้รับคะแนนเสียงใกล้เคียงกัน ทำให้เสียงของพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาลมีคะแนนเสียงมากพอที่จะต่อรอง ขณะเดียวกันหากพรรคฝ่ายค้าน เป็นพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ ซึ่งครองที่นั่งในสภาฯ ค่อนข้างมาก ก็มีความเข้มแข็งมากเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลง และพบสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวในอิตาลี ไม่นับรวมแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนและญี่ปุ่น จึงแนะนำให้นักลงทุนใช้โอกาสการปรับขึ้นของหุ้นรอบนี้ ขายทำกำไร ก่อนการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในไตรมาส 2


ทั้งนี้ บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอดวันที่ 25 มี.ค. หลังการเลือกตั้ง ปิดตลาดดัชนีปรับตัวลดลง 20.39 จุด แตะ 1,625.91 จุด มูลค่าซื้อขาย 47,064.83 ล้านบาท โดยหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 317 หลักทรัพย์ ลดลง 1,221 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง 303 หลักทรัพย์
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาห์สหรัฐ ของธนาคารกสิกรไทย เมื่อเวลา 16.11 น.วานนี้ ดอลลาห์สหรัฐ รับซื้อที่ 30.28 บาท ขายออก 31.72 บาท









