การลงทุนทุกวันนี้ไม่ใช่แค่การซื้อๆ ขายๆ เท่านั้น แต่คือการบริหารพอร์ตลงทุนท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนเร็วมาก ทั้งข่าวเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยขึ้นลง ความไม่แน่นอนด้านการเมือง ไปจนถึงเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ทำให้หลายคนลังเลที่จะเริ่มลงทุน เพราะกลัวว่าพอเริ่มแล้วจะเครียดยิ่งกว่าเดิม
‘กวี ชูกิจเกษม’ ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) พูดในงาน Better Trade 2025 ในหัวข้อ Intelligent Investing กุญแจสู่ความมั่งคั่งในโลกยุคใหม่ โดยบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องทายตลาดเก่งหรือเป็นนักลงทุนระดับโปร สิ่งสำคัญกว่าคือ “การจัดพอร์ตให้สมดุลพอจะพาเราไปต่อได้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ตาม”
[ การกระจายพอร์ตก็เหมือนวิธีจัดการระบบชีวิต ]
ในการลงทุนการกระจายพอร์ตไม่ใช่แค่เรื่องลดความเสี่ยงเท่านั้น แต่เป็นเหมือนการจัดโครงสร้างชีวิตการเงินให้มั่นคง หลายคนเวลาเริ่มต้นมักถามว่า “ซื้ออะไรดี?” แต่จริง ๆ คำถามนั้นเป็นเพียงปลายทางของแผนการเงิน
สิ่งที่ควรถามก่อนคือ “พอร์ตของเรามีความสมดุลหรือยัง?” เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมีรอบเวลาของตัวเอง บางปีหุ้นดี แต่ตราสารหนี้แผ่ว บางปี REITs ให้ผลตอบแทนดีกว่า หรือบางช่วงตลาดเกิดใหม่ขึ้นแรงสวนกระแสโลก เหล่านี้เกิดขึ้นได้ตลอด และไม่มีใครคาดเดาได้ชัดเจน
‘กวี’ บอกว่า เมื่อเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การแบ่งพอร์ตหลายประเภทจึงช่วยให้ภาพรวมไม่เหวี่ยงจนเกินไป ทำให้เราไม่ต้องตื่นตกใจทุกครั้งที่ตลาดผันผวน และสามารถถือยาวตามแผนได้โดยไม่ถูกอารมณ์พาไป
[ โครงสร้างพอร์ตสมดุล ]
โครงสร้างพอร์ตที่สมดุลไม่จำเป็นต้องหวือหวา แต่ต้อง ‘มั่นคง’ และทำงานให้เราได้อย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถแบ่งพอร์ตออกเป็น 6 ส่วน ซึ่งแต่ละสินทรัพย์ทำหน้าที่ต่างกันเพื่อช่วยกันประคองผลตอบแทน
- หุ้นขนาดใหญ่ 15% : กลุ่มเสาหลักของพอร์ต พื้นฐานแข็งแรงและความเสี่ยงต่ำกว่า
- หุ้นต่างประเทศ 15% : เปิดรับโอกาสจากเศรษฐกิจโลก ไม่จำกัดการเติบโตไว้แค่ในประเทศ
- หุ้นขนาดเล็ก 10% : เพิ่มศักยภาพการเติบโต แม้จะผันผวนมากกว่า
- หุ้นตลาดเกิดใหม่ 10% : โอกาสจากประเทศที่กำลังโต เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม
- กองทุนอสังหา/REITs 10% : รายได้ประจำจากค่าเช่า ช่วยเสริมเสถียรภาพให้พอร์ต
- ตราสารหนี้คุณภาพดี 40% : ส่วนป้องกันพอร์ต ช่วยให้ภาพรวมไม่สวิงเวลาหุ้นลงแรง
ข้อมูลย้อนหลังชี้ว่าพอร์ตแบบนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 6.5% ต่อปี แม้ไม่หวือหวา แต่เหมาะมากสำหรับคนที่อยากลงทุนแบบ ‘ไม่ต้องลุ้นเหนื่อย’ และอยู่ในตลาดได้ยาวๆ
[ เข้าใจจังหวะของหุ้นและตราสารหนี้ ]
เวลาลงทุน เราควรรู้ว่าทุกสินทรัพย์มีจังหวะเป็นของตัวเองเพื่อจะได้ไม่ตกใจในวันที่พอร์ตแดง ‘กวี’ อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า หุ้นมักมีช่วงติดลบ 2–3 ปี ก่อนจะกลับมาเป็นบวก ส่วนตราสารหนี้ แม้จะมีช่วงลบเช่นกัน แต่โดยมากจะฟื้นตัวเร็วกว่า
นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกให้ ‘ตราสารหนี้’ มากถึง 40% เพื่อช่วยชะลอแรงกระแทกจากความผันผวนของหุ้น ทำให้พอร์ตดูนิ่งกว่า เหมาะกับการถือยาว และไม่ต้องลุ้นทุกวันว่าตลาดจะฟื้นเมื่อไหร่
[ เงินสำรองสำคัญมาก ]
‘กวี’ เน้นว่าการมีเงินสำรองคือเครื่องมือที่ทำให้เราลงทุนได้ ‘อย่างอิสระ’ ไม่ใช่ ‘ด้วยความจำใจ’ หลักคิดนี้เรียบง่ายแต่สำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่มีเงินสดเลย เวลามีเหตุฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วยหรือด่วนใช้เงิน เราจะถูกบังคับให้ขายกองทุนในวันที่ราคาต่ำที่สุด ซึ่งเจ็บทั้งเงินและใจ
การมีเงินสำรองอย่างน้อย 3–6 เดือน จึงไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่เป็นพื้นที่หายใจที่ช่วยให้เรายังถือพอร์ตต่อได้ตามแผน และไม่ต้องตัดสินใจด้วยความตื่นกลัว
[ 3 หลักคิดในการลงทุน ]
เพื่อให้การลงทุนง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน ‘กวี’ ฝากแนวคิดสำคัญ 3 ข้อไว้ให้คิด ได้แก่
1.โลกจะผันผวนเสมอ แต่พอร์ตของเราต้องนิ่งพอจะรองรับได้ นี่คือเหตุผลที่การกระจายพอร์ตสำคัญมาก.
2.เงินสำรองทำให้พอร์ตแข็งแรงขึ้น โดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแผนบ่อย ช่วยให้เรายืนระยะได้ แม้วันที่ทุกอย่างดูวุ่นวาย
3.หลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ เพราะหนี้กินพื้นที่การลงทุนในอนาคต ชีวิตการเงินดีขึ้นมาก เมื่อเราไม่ต้องแบกดอกเบี้ยที่ไม่ช่วยให้เงินโต
สุดท้ายแล้ว การลงทุนควรเริ่มวันนี้แบบค่อยเป็นค่อยไป วันหนึ่งคุณจะขอบคุณตัวเองที่เริ่มเร็วขึ้น เราไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนถึงจะเริ่มได้ แค่จัดเงินสำรอง แบ่งพอร์ตให้สมดุล ลงทุนสม่ำเสมอ และรีบาลานซ์ปีละครั้ง
นี่คือแนวทางการลงทุนที่ง่ายและยั่งยืนที่ ‘กวี ชูกิจเกษม’แนะนำนักลงทุนทุกคน เพราะการลงทุนที่ดีไม่ใช่การชนะตลาด แต่คือการทำให้ชีวิตการเงินของเรา “มั่นคง เติบโต และไม่ต้องแลกกับความเครียดเกินไป”










