สรรพสามิต ชี้แจง เก็บภาษี ยาเส้นเพิ่มซองละ 2 บาท เพราะพฤติกรรมสิงห์อมควันเปลี่ยนจากสูบบุหรี่มวน มาซื้อยาม้วนเองเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่โรงงานของชาวบ้านได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว พร้อมขยายเวลาขึ้นภาษีบุหรี่ จาก 20 % เป็น 40 % ไปเป็นปี 2563

(สดศรี พงศ์อุทัย / ณัฐกร อุเทนสุต)
วันที่ 8 พ.ค. นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต และ นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต ร่วมแถลงข่าว ผลจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีการปรับขึ้นภาษียาเส้น 10 กรัม จากเดิม 5 สตางค์ เป็น 1 บาท จะส่งผลให้ราคายาเส้นปรับขึ้นซองละ 2 บาท (ครม. เห็นชอบขึ้นภาษีสรรพสามิตยาเส้นจาก 0.005 บาทต่อกรัม เป็น 0.1 บาทต่อกรัม หรือเพิ่มขึ้น 20 เท่า)

นายณัฐกร อุเทนสุต รองโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า วันนี้เราเห็นชัดเลยว่า มีการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจากบุหรี่ไปเป็นยาเส้นค่อนข้างมาก เพราะเดิมสรรพสามิตมีการจัดเก็บภาษียาเส้น ก่อนปี 2560 อยู่ที่ประมาณ 12 ล้านกิโลกรัม แต่วันนี้เก็บได้ถึง 26 ล้านกิโลกรัม ขณะที่ราคาขายในท้องตลาดค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับยาเส้นปรุง กรมสรรพสามิตจึงเสนอกระทรวงการคลัง นำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาและอนุมัติเมื่อวานนี้ โดยอัตราภาษีใหม่ของยาเส้น มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้ (8 พ.ค. 62) คาดว่า จะได้เงินภาษีเพิ่มขึ้นเกือบ 2,000 ล้านบาทต่อปีงบประมาณ
นายณัฐกร ยังกล่าวโดยสรุปด้วยว่า สำหรับยาเส้นที่ทำโดยชาวบ้านโรงงานเล็กในชุมชนที่ส่งให้กับารยาสูบได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว แต่โรงงานใหญ่ที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีประมาณ 20-30 ราย จะต้องเสียภาษียาเส้นเพิ่ม ทั้งนี้ ภาษียาเส้นไม่เคยปรับขึ้นเลยมาเป็นเวลา 40 ปี แต่เมื่อบุหรี่ราคาแพงขึ้น ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม จึงต้องส่งสัญญาณว่า ยาเส้นม้วนเอง ไม่ดีต่อสุขภาพ มีสารตกค้าง ไม่มีก้นกรอง อาจไม่ได้ทำให้เปลี่ยนพฤติกรรม แต่น่าจะช่วยลดการบริโภคลงได้บ้าง

ยืดเวลาเก็บภาษีบุหรี่ 40 % ออกไป 1 ปี
นอกจากนี้ ครม. มีมติขยายเวลาการขึ้นภาษีบุหรี่สรรพสามิตรจาก 20 % เป็น 40 % จากเดิม วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เป็น 1 ตุลาคม 2563 หรือขยายเวลาไปอีก 1 ปี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกใบยา และ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบุหรี่ทั้งหมด
ขอบคุณภาพประกอบหน้าปก FB : กวี แห่ง กลอนไพร









