มาตรการอสังหาฯ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ลุ้นกันมาสักพักใหญ่ว่ารัฐบาลจะมีการขยายระยะเวลาต่อหรือไม่ ล่าสุดครม. ออกมาตรการของขวัญปีใหม่ให้คนไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2565 หนึ่งนั้นคือขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองที่อยู่อาศัย ยาวไปจนถึง 31 ธันวาคม 2565
จากที่ผ่านมาภาคอสังหาฯ ยังไม่ฟื้นตัวดีนักจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจและโรคระบาด Covid-19 ผู้บริโภคจำนวนมากชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน รัฐบาลจึงประกาศมาตรการลดค่าธรรมเนียมและจดจำนองมาอย่างต่อเนื่อง และจะขยายระยะเวลามาตรการต่อไปเพื่อช่วยให้ประชาชนซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น
โดยรายละเอียดการลดค่าธรรมเนียมจะยังคงเหมือนเดิม สำหรับค่าธรรมเนียมการโอน จากเดิมร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 ของราคาประเมิน และค่าธรรมเนียมจดจำนองจากเดิม ร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ของราคาประเมินเช่นกัน
ครอบคลุมการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้าน คอนโดและอาคารพาณิชย์ ที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีผลบังคบใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งจากเดิมที่จะหมดอายุในสิ้นปีนี้
มาตรการนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้คนซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างมากเลยทีเดียว ยกตัวอย่าง บ้านราคา 3 ล้านบาท ปกติต้องเสียค่าโอนและจดจำนอง รวมกันสูงถึง 9 หมื่นบาท แต่เมื่อลดเหลือ 0.01% รวมแล้วจะจ่ายเพียง 600 บาทเท่านั้น
ทั้งนี้การขยายระยะเวลาของมาตรการนี้น่าจะช่วยเหลือกลุ่มเรียลดีมานด์ หรือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริงได้อย่างตรงจุด มากกว่ามาตรการผ่อนคลาย LTV ที่ออกโดยแบงก์ชาติเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพราะ LTV จะเอื้อคนที่ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป รวมถึงที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 10 ล้านบาทให้เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
สำหรับกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้าน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง และซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง บ้างก็เป็นบ้านหลังแรก ดังนั้นน่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง
ขณะเดียวกัน มาตรการนี้จะทำให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต้องสูญเสียรายได้ไปราว 4,946 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การออกมาตรการลดค่าธรรมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ยังไม่ได้ครอบคลุมที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงที่อยู่อาศัยมือสองซึ่งต้องการมาตรการกระตุ้นด้วย
อย่างที่ผ่านมาศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้เปิดเผยตลาดบ้านมือสองว่ามีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 8 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนกลุ่มบ้านราคา 3-5 ล้านบาทมีจำนวนมากสุด สะท้อนให้เห็นว่ายังมีอุปทานคงค้างในตลาดนี้เป็นจำนวนมาก หากรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือให้ครอบคลุมก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาคอสังหาฯ โดยรวมได้มากขึ้น










