สภากาชาดไทย แจงเลือดที่ผู้ป่วยรับบริจาคติดเชื้อเอสไอวี เป็นเลือดที่ได้รับบริจาคเมื่อปีประมาณ 2547 เผยระบบการตรวจในสมัยนั้น ยังไม่สามารถแยกแยะระยะการฟักตัวของเชื้อโรคได้ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ยืนยัน ปัจจุบันปลอดภัย

(ภาพประกอบเท่านั้น)
วันที่ 10 พ.ค. แพทย์หญิงจารุพร พรหมวงศ์ รองผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ชี้แจงกรณีมีผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เกิดติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จากการได้รับเลือดที่ได้รับบริจาคมาจากสภากาชาดไทย ว่า
จากการตรวจสอบ พบว่า กรณีนี้เลือดที่ได้รับบริจาคมาเป็นเลือดของปี 2547 ซึ่งสมัยนั้นทางสภากาชาดไทย มีระบบการคัดกรองที่ยังไม่ทันสมัย ทำให้ไม่สามารถแยกแยะ หรือ คัดกรองได้ว่า เลือดที่ได้รับบริจาคมานั้น มีระยะการฟักตัวของเชื้อโรคประเภทใดบ้าง ซึ่งก็ทำให้ผู้ที่ได้รับบริจาคโลหิตมีโอกาสเสี่ยงที่จะรับเชื้อโรคบางชนิดได้ ทั้งโรคร้ายแรง และ ไม่ร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม หลังปี 2547 สภากาชาดไทยใช้ระบบการตรวจคัดกรอง ทั้งแบบตรวจดีเอ็นเอ ตรวจอาร์เอ็นเอ ตรวจระบบน้ำเหลือง หรือที่เรียกว่า ซีโรโรจี้ ควบคู่กันไป ก่อนที่จะนำเลือดเข้าตรวจห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้กับผู้รับบริจาค แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ผู้บริจาคต้องคัดกรองตัวเองว่า ไม่เป็นผู้ติดเชื้อโรคใดๆ ก่อนที่จะมาบริจาค และเหตุการณ์นี้ ทางสภากาชาดไทยเสียใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และ พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มที่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รพ.ชี้แจงดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ HIV จากการถ่ายเลือดมาโดยตลอด









