รัฐบาลญี่ปุ่นวางแผนสร้างสังคม “คนไม่แก่” ชดเชยแรงงานที่หดหายจากการลดฮวบของอัตราเกิด
ญี่ปุ่นพยายามมาตลอดที่จะแก้ปัญหาสังคมขาดแคลนแรงงานซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุอย่างเช่นออกมาตรการส่งเสริมให้หนุ่มสาวมีลูกมากขึ้นแต่ที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงคิดใหม่ทำใหม่ด้วยการวางแผนสร้างสังคม “คนไม่แก่” ขึ้นมาแทน
ร่างนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุซึ่งทบทวนครั้งแรกในรอบ 5 ปีระบุว่าต่อไปนี้คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะไม่ถูกมองว่าเป็นคนแก่แต่จะกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้กระฉับกระเฉง สามารถทำงานและทำกิจกรรมในสังคมต่อไปได้ พร้อมระบุว่าควรชะลออายุรับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (เงินที่จะได้รับทุกเดือนหลังเกษียณ) ออกไปด้วยการจูงใจให้ผู้สูงอายุเลือกที่จะเริ่มรับเงินนี้ตั้งแต่อายุ 70 ปีจากปัจจุบันที่ 65 ปี แรงจูงใจที่ว่าคือยิ่งรับช้า ยิ่งได้เงินมากขึ้นโดยคาดหวังให้ผู้สูงอายุยังทำงานต่อไปหลังเกษียณ

“สังคมอาจประเมินคนอายุ 65 ปีขึ้นไปว่าเป็นผู้สูงอายุที่ความสามารถเสื่อมถอยลง แต่รัฐบาลจะทบทวนมาตรฐานปัจจุบันและตั้งเป้าสร้างสังคมคนไม่แก่ที่คนทุกวัยสามารถใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงตามที่ตัวเองปรารถนาได้” นี่คือส่วนหนึ่งของข้อความที่ระบุในร่างนโยบายซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะทำงานที่เกี่ยวข้องในพรรคร่วมรัฐบาลแล้วและกำลังจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.เร็ว ๆ นี้
ศาสตาจารย์โยะชิกะซุ เค็นโจ จากมหาวิทยาลัยเคโอมองว่า “การขยายสิทธิ์ในการเลือกว่าจะรับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อไหร่มีความสำคัญอย่างมากในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงของญี่ปุ่น ถ้าแต่ละคนเลือกที่จะชะลออายุการรับเงินเพื่อจะได้เงินมากขึ้นอาจช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมั่นคงกับการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้”
ผลการสำรวจของคณะรัฐมนตรีพบว่าร้อยละ 40 ของคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปยังอยากทำงานต่อไปหรือแม้กระทั่งอายุเกิน 70 ก็ยังอยากทำงานอยู่ แต่การทำงานหลังวัยเกษียณได้หมายถึงสุขภาพต้องแข็งแรง รัฐบาลจึงมีแผนหาทางส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุด้วยเพื่อลดความจำเป็นการในการพยาบาลดูแล แต่สิ่งที่รัฐบาลกังวลคือถึงจะมีมาตรการจูงใจอะไรออกมามากมายแต่เอาเข้าจริงดูเหมือนมีผู้สูงอายุเพียงหยิบมือเท่านั้นที่เลือกจะยืดเวลารับเงินสวัสดิการของตัวเองออกไป
ที่มา Japan to aim at ‘ageless society’ with more healthy seniors working









