“หากมีการสู้รบ หรือใช้กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไร ก็ถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามต่อความอยู่รอด”
ประโยคเดียวจากปาก ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ต่อหน้ารัฐสภา ฟังเผินๆ อาจเป็นเพียงถ้อยคำทางการเมืองที่ผู้นำใช้กันเป็นปกติ แต่สำหรับเอเชียตะวันออกครั้งนี้ ผลสะเทือนกลับรุนแรงกว่านั้นมาก
เพราะใจกลางของประโยคนี้ คือคำว่า ‘ไต้หวัน’ และเพียงแค่เอ่ยถึง จีนก็เดือดเป็นไฟ ตอบโต้ในระดับสายฟ้า ทั้งเตือนพลเมืองไม่ให้เดินทางไปญี่ปุ่น ขู่แบนอาหารทะเล และปลุกกระแสชาตินิยมออนไลน์จนลุกลามไปทั่วพื้นที่ออนไลน์
คำถามคือ เหตุใดคำพูดเพียงประโยคเดียว จึงสั่นสะเทือนภูมิรัฐศาสตร์ทั้งภูมิภาคได้ถึงเพียงนี้? TODAY ชวนมาถอดรหัสไปพร้อมกัน
‘ภัยคุกคามต่อความอยู่รอด’ คีย์เวิร์ดที่ทำให้ปักกิ่งสะดุ้ง
ทาคาอิจิไม่ได้พูดถึงการป้องกันประเทศแบบกว้างๆ แต่เลือกใช้คำเฉพาะในกฎหมายความมั่นคงปี 2015 คือ ‘สถานการณ์ที่คุกคามต่อความอยู่รอด’ (Survival-Threatening Situation)
กฎหมายฉบับนี้ระบุว่า หากพันธมิตรของญี่ปุ่นถูกโจมตี และสถานการณ์นั้นกระทบต่อการดำรงอยู่ของญี่ปุ่น รัฐบาลสามารถสั่งให้กองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ใช้กำลังตอบโต้ได้ แม้ญี่ปุ่นจะไม่ถูกโจมตีโดยตรงก็ตาม
หรืออธิบายง่ายๆ นี่คือกรอบกฎหมายที่เปิดทางให้ญี่ปุ่นมีบทบาททางทหารเชิงรุกได้เป็นครั้งแรกนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และคือการขยับตัวออกจากภาพ ‘รัฐสันติ’ ที่ยึดถือมาตั้งแต่ปี 1945
เมื่อทาคาอิจิผูก ‘ไต้หวัน’ เข้ากับนิยามนี้ จึงเท่ากับส่งสัญญาณว่า หากจีนใช้กำลัง ญี่ปุ่นมี ‘เหตุผลทางกฎหมาย’ ที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารได้
สำหรับปักกิ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การแสดงจุดยืน แต่คือการ ‘ปลดล็อกเงื่อนไขทางทหาร’ ที่อาจทำให้ญี่ปุ่นก้าวเข้ามาอยู่ในสมรภูมิไต้หวันจริงในอนาคต
ญี่ปุ่นขยับยุทธศาสตร์ความมั่นคง และจีนมองว่าเป็นภัย
ในสายตาจีน ความกังวลไม่ใช่เพียงประโยคเดียวของทาคาอิจิ แต่คือ ‘บริบท’ ของญี่ปุ่นที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคความมั่นคงแบบใหม่อย่างเห็นได้ชัด หลังจากปี 1945 ที่ญี่ปุ่นประกาศตัวเป็นรัฐสันติ จำกัดบทบาททางทหาร และออกแบบกองกำลังป้องกันตนเองให้ทำหน้าที่ตั้งรับเท่านั้น
โลกยุคใหม่ในวันนี้ โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสหรัฐ-จีน กลับกำลังผลักให้โตเกียวต้อง ‘ปรับบทบาท’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ และสัญญาณเหล่านั้นก็ชัดเจนขึ้นทุกปี
ไม่ว่าจะเป็น การที่ญี่ปุ่นเพิ่มงบกลาโหมสูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ตั้งเป้าแตะ 2% ของ GDP เทียบเท่ามาตรฐาน NATO แสดงถึงการก้าวออกจากบทบาท ‘ประเทศที่เน้นป้องกันตัว’ ไปสู่ประเทศที่พร้อมแบกรับภาระด้านความมั่นคงมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการจัดหาอาวุธระยะไกล และพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลของตัวเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าญี่ปุ่นไม่ได้อยู่แค่ในโหมด ‘รับมือ’ อีกต่อไป แต่มีศักยภาพจะ ‘โต้กลับ’ หากสถานการณ์บีบบังคับ
ด้านพันธมิตร โตเกียวผสานความร่วมมือกับสหรัฐ–เกาหลีใต้อย่างแน่นแฟ้น จนไตรภาคีทั้งสามกำลังกลายเป็นแกนความมั่นคงใหม่ของเอเชียแปซิฟิก ผ่านการซ้อมรบร่วม ระบบเตือนภัยร่วม และการแบ่งปันข่าวกรอง
แน่นอนว่า ในมุมมองของจีน สิ่งเหล่านี้ประกอบกันเป็นภาพเดียวกัน คือการก่อตัวของ ‘วงล้อมทางยุทธศาสตร์’ ที่รัดแน่นเข้าหาจีนมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถูกโยงเข้ากับถ้อยแถลงของทาคาอิจิ จึงยิ่งทำให้จีนมองว่า นี่เป็นสัญญาณของ ‘ญี่ปุ่นยุคใหม่’ ที่พร้อมขยับบทบาททางทหารในพื้นที่อ่อนไหวที่สุดของภูมิภาค
บาดแผลจากอดีตที่ยังไม่สมาน
สิ่งที่ทำให้จีนตอบโต้รุนแรง ไม่ได้มีเพียงตัวเลขงบกลาโหมหรือขีปนาวุธระยะไกล แต่เพราะทุกการขยับเหล่านี้ไปกระทบกับ ‘บาดแผลทางประวัติศาสตร์’ ที่ยังไม่เคยสมานจริง
แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะผ่านมากว่าแปดทศวรรษ แต่สำหรับจีน ความเจ็บปวดจากการรุกรานของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยังไม่เคยเลือนหาย จากเหตุการณ์หนานกิง การล่วงละเมิดหญิงสาว การสังหารพลเรือนนับแสน ไปจนถึงการทดลองมนุษย์ของหน่วย 731
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เคยถูกเก็บไว้แค่ในตำราเก่า แต่ถูกเล่า–สอน–ย้ำ ในหนังสือเรียน พิพิธภัณฑ์ และสื่อของรัฐจีนอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘อารมณ์ร่วมของชาติ’ และถูกใช้สร้างอัตลักษณ์ว่า จีนยุคใหม่ต้องเข้มแข็งให้พอ เพื่อไม่ให้ ‘ศตวรรษแห่งความอัปยศ’ หวนกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ฝั่งญี่ปุ่น แม้รัฐบาลจะเคยออกถ้อยแถลงขอโทษและแสดงความสำนึกหลายครั้ง แต่ก็มีช่วงเวลาที่นักการเมืองบางคนไปไหว้ศาลเจ้ายาสุกุนิ ตั้งคำถามต่อจำนวนผู้เสียชีวิต หรือใช้ถ้อยคำที่ถูกมองว่า ‘ลดทอน’ ความโหดร้ายของอดีต
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ความไว้วางใจอันเปราะบางระหว่างสองประเทศก็พังทลายลงแทบจะทันที
เมื่อทาคาอิจิเอ่ยถึงไต้หวันในกรอบทางทหาร จีนจึงไม่ได้อ่านเพียงในมิติยุทธศาสตร์ แต่เชื่อมโยงตรงไปถึงคำถามเก่าที่ไม่เคยถูกปิดให้สนิทจริงๆ ว่า ญี่ปุ่นเรียนรู้บทเรียนจากอดีตมากพอแล้วหรือยัง
ประวัติศาสตร์ร่วมที่ถูกจำไม่เหมือนกัน
หากมองจากแผนที่ เอเชียตะวันออกคือภูมิภาคที่เชื่อมโยงกันด้วยรากทางวัฒนธรรม จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ล้วนเคยอยู่ภายใต้อิทธิพลอารยธรรมจีนโบราณ ใช้อักษรจีน มีพิธีกรรมและค่านิยมที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี
แต่เมื่อพูดถึง ‘ประวัติศาสตร์ร่วม’ ทั้งสามประเทศกลับมีภาพจำนึกคนละแบบ และนี่คือรากสำคัญของความไม่ไว้วางใจที่ปะทุขึ้นมาได้เสมอ
สำหรับจีน ญี่ปุ่นคือผู้รุกรานที่ทิ้งบาดแผลลึก จากหนานกิงถึงหน่วย 731 สำหรับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นคือผู้ล่าอาณานิคมที่กดขี่ประชาชนยาวนานกว่า 35 ปี ตั้งแต่การบังคับเปลี่ยนชื่อไปจนถึงประเด็นหญิงบำเรอที่ยังส่งผลถึงคนรุ่นหลัง สำหรับญี่ปุ่นเอง ประวัติศาสตร์ถูกเล่าด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวังกว่า เน้นภาพหลังสงครามในฐานะ ‘รัฐสันติ’ และประเทศที่ยึดมั่นในรัฐธรรมนูญสันติภาพมาตลอด
ความทรงจำที่ไม่ตรงกันนี้ ทำให้ความคาดหวังเรื่อง ‘การขอโทษ’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ไม่เคยเดินไปในจังหวะเดียวกัน และกลายเป็นกำแพงที่ทำให้ความสัมพันธ์สามชาติไม่เคยนิ่งยั่งยืน
ดังนั้น เมื่อผู้นำญี่ปุ่นอย่างทาคาอิจิพูดถึงไต้หวัน ซึ่งจีนถือเป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตย คำพูดเดียวจึงไปสั่นสะเทือน ‘ประวัติศาสตร์ข้ามชาติที่ยังไม่สมาน’ ไม่ใช่แค่ในมิติจีน–ญี่ปุ่น แต่กระทบไปถึงสมดุลทั้งภูมิภาค เพราะในเอเชียตะวันออก ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องเก่าที่เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่คือ ‘พลังทางการเมือง’ ที่กำหนดท่าทีในวันนี้
‘ไต้หวัน’ จุดระเบิดไวที่สุดของเอเชียตะวันออก
ไต้หวันคือพื้นที่ที่ผลประโยชน์ของสามประเทศใหญ่ ‘จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ’ ซ้อนทับกันพอดี
สำหรับจีน ไต้หวันคือเส้นแดงด้านอธิปไตย เป็นชิ้นส่วนสำคัญของการรวมชาติ และเป็นหัวใจของเป้าหมาย ‘ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของจีน’ ภายในศตวรรษนี้
สำหรับญี่ปุ่น ไต้หวันคือแนวกันชนด้านความมั่นคง หากจีนควบคุมไต้หวันได้ เส้นทางเดินเรือรอบญี่ปุ่นและเส้นทางพลังงานสำคัญจะถูกคุกคามทันที โตเกียวจึงมองไต้หวันเป็น ‘เส้นที่ห้ามถูกเปลี่ยนสถานะด้วยกำลัง’
สำหรับสหรัฐ ไต้หวันคือฟันเฟืองหลักในยุทธศาสตร์อินโด–แปซิฟิก และเป็นจุดคานอำนาจไม่ให้จีนมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคจนเกินไป
เมื่อผู้นำญี่ปุ่นผูกไต้หวันเข้ากับนิยาม ‘ภัยคุกคามต่อความอยู่รอด’ ปักกิ่งจึงตีความว่า ญี่ปุ่นกำลังก้าวเข้าไปในสนามที่ขัดกับความทรงจำทางประวัติศาสตร์ และอาจเปิดทางให้ญี่ปุ่นมีส่วนร่วมทางทหารในกรณีไต้หวันจริง
การตอบโต้ของจีน ตั้งแต่เตือนห้ามเดินทาง ขู่แบนอาหารทะเล ไปจนถึงการปลุกกระแสชาตินิยมออนไลน์ จึงไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาชั่ววูป แต่คือ ‘สัญญาณเตือนล่วงหน้า’ ถึงญี่ปุ่นและประเทศอื่นในภูมิภาคว่า ไต้หวันคือเส้นแดงที่จีนมองว่าไม่อาจปล่อยให้ใครขยับได้เลย
จุดเปราะบางในอดีต ที่ยังเขียนอนาคต
ความตึงเครียดที่ปะทุจากคำพูดเดียวของทาคาอิจิ สะท้อนว่าภูมิภาคนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยนโยบายปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่อดีตที่ยังไม่เคยสมาน กำลังกำหนดทิศทางอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ
จีนถือไต้หวันเป็นเส้นแดงด้านอธิปไตย ญี่ปุ่นมองไต้หวันเป็นแนวกันชนความมั่นคง สหรัฐใช้ไต้หวันเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์อินโด–แปซิฟิก ส่วนเกาหลีใต้ต้องประคองสมดุลท่ามกลางแรงกดดันจากทุกทิศ
เมื่อผลประโยชน์ของมหาอำนาจทั้งสี่ซ้อนทับกัน เพียงคำประกาศจากผู้นำญี่ปุ่น ก็เพียงพอจะปลุกเงาประวัติศาสตร์ และเขย่าโครงสร้างความมั่นคงทั้งภูมิภาค
เอเชียตะวันออกจึงไม่ได้เพียงเข้าสู่ยุคความขัดแย้งระลอกใหม่ แต่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ ‘อดีตจะเป็นตัวกำหนดอนาคตมากขึ้นกว่าเดิม’
และตราบใดที่บาดแผลยังไม่สมาน แม้แต่คำพูดแค่คำเดียว หรือการกระทำครั้งเดียว ก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของระลอกความตึงเครียดครั้งต่อไปได้เสมอ










