หุ้นไทย

SCBAM เตือนหุ้นไทยร่วงแตะ 1,000 จุด หลังทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้า 36%

การเงิน

บลจ.ไทยพาณิชย์ เตือน SET Index อาจร่วงทดสอบระดับ 1,000 จุด หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีไทย 36% แนะนำนักลงทุนเลือกหุ้น Defensive ปันผลสูง หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ Reciprocal Tariff

‘ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) เปิดเผยว่า SCBAM ปรับเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) สิ้นปี 2568 เหลือ 1,300 จุด จากเดิมที่ 1,360 จุด แต่กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) คาดว่าดัชนีอาจแกว่งลงไปได้ถึง 1,000 จุด

ปัจจัยกดดันหลักมาจากสงครามการค้า หลังวานนี้ (2 เม.ย. 2568) สหรัฐประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับไทย 36% ซึ่งส่งผลลบต่อบรรยากาศ (Sentiment) การลงทุนทันที ขณะที่การเก็บ Reciprocal Tariff กับประเทศคู่ค้าไทย เช่น จีน และเวียดนาม อาจส่งผลกระทบต่อ SET Index ระลอก 2

ท่ามกลางความผันผวน SCBAM แนะนำนักลงทุน เลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีความต้านทานสูง (Defensive Stock) และกลุ่มหุ้นที่มีเงินปันผลสูง (Dividend Stock) เช่น กลุ่มการเงิน กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ

ในทางกลับกัน แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสินค้าเกษตร เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก Reciprocal Tariff เต็มๆ

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ (Bond) โดยมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่สามารถเข้าลงทุนได้ในช่วงที่โลกกำลังยุ่งเหยิงอย่างในปัจจุบัน

ในวันเดียวกัน SCBAM แชร์แผนธุรกิจปี 2568 โดยคาดว่าจะสามารถรักษาเบอร์ 1 ของตลาดกองทุนได้ต่อเนื่อง สะท้อนจากสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่คาดว่าจะเติบโตแตะ 2 ล้านล้านบาท รายได้เติบโตมากกว่า 15% และกำไรเติบโตมากกว่า 10%

ขณะที่แผนธุรกิจในระยะกลาง หรือภายใน 3 ปีต่อจากนี้ (2570) คาดว่า AUM จะเติบโตแตะ 3 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันที่ 1.96 ล้านล้านบาท และคาดว่าฐานลูกค้าจะเติบโตแตะ 1 ล้านคน จากปัจจุบันที่ 700,000 คน รวมถึงรายได้รวมเติบโตแตะ 10,000 ล้านบาท

เมื่อสอบถามถึงผลกระทบจากการปรับตัวลงของ SET Index ซีอีโอของ SCBAM แชร์ว่า แม้หุ้นไทยจะปรับตัวลง แต่บริษัทก็ยังเติบโตได้จากโปรดักต์อื่นๆ เช่น กองทุนต่างประเทศ และกองทุนตราสารหนี้ ส่งผลให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับลงของ SET Index

ปัจจุบัน SCBAM มีสัดส่วนพอร์ตตราสารหนี้สูงสุดที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท หรือราว 50% รองลงมาคือกองทุนต่างประเทศประมาณ 300,000 ล้านบาท ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 300,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

KingployWriterKingploy
Dolce far Niente

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง