เวลาที่พูดถึงแนวโน้มการลงทุนในปีหน้า 2026 คำถามเดิมๆ ยังคงวนกลับมาเสมอ เศรษฐกิจโลกจะชะลอแค่ไหน ดอกเบี้ยจะลดจริงหรือไม่ และความผันผวนที่เกิดจากภูมิรัฐศาสตร์จะส่งผลต่อพอร์ตเราอย่างไร
‘ดร.มานะ นิมิตวานิชย’ Chief Investment Office (CIO) ของ ธนาคารกรุงไทย พูดถึงแนวโน้มปีหน้าผ่านงานสัมมนา Better Trade 2025 หัวข้อ Smart Portfolio 2026 ว่าอาจไม่ได้เป็นปีที่ตลาดพุ่งแรง แต่เป็นปีที่ต้องมีการจัดพอร์ตอย่างถูกทิศทาง เพราะยังมีความผันผวนและความจริงหลายอย่างที่รออยู่
[ เศรษฐกิจโลกปี 2026 โตช้าลง ]
‘ดร.มานะ’ เล่าว่าภาพรวมการคาดการณ์จาก IMF สะท้อนชัดว่าเศรษฐกิจโลกปี 2026 น่าจะชะลอลงเล็กน้อย ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงเอเชียอย่างจีน ญี่ปุ่น และอินเดียที่เติบโตน้อยลงจากปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช่สัญญาณอันตราย แต่ก็ไม่ใช่ปีที่ตลาดจะขยายตัวแรงแบบไร้อุปสรรค
สิ่งที่เป็น ‘ข่าวดี’ คือเงินเฟ้อเริ่มคลายลง ซึ่งเปิดทางให้ธนาคารกลางโดยเฉพาะ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กลับมาลดดอกเบี้ย หลังจากเริ่มลดไปแล้ว 2 ครั้งในปีที่ผ่านมา
โดยตลาดคาดว่าภายในปลายปี 2026 เฟดอาจปรับลดได้อีกหลายรอบ ซึ่งถือเป็นแรงสนับสนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงยังมีโอกาสเติบโต แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะไม่เด่นมากนักก็ตาม
[ ความไม่แน่นอนที่ยังคงกดดันตลาด ]
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้น แต่ความเสี่ยงที่ยากจะคาดเดายังมาจากเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงและยืดเยื้อ ซึ่งนักลงทุนหลายคนก็ยังกังวลกับประเด็นนี้อยู่มากพอสมควร
ทั้งสงครามยูเครน–รัสเซีย ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และความผันผวนจากทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งสามารถเปลี่ยนทิศได้แทบทุกเวลา
‘ดร.มานะ’ ชี้ว่าปัจจัยเหล่านี้ทำให้ปี 2026 เป็นปีที่ตลาดอาจ สวิงแรงเป็นช่วงๆ และนักลงทุนต้องมีสมดุลในพอร์ตมากกว่าที่เคย เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ภายนอกมากระทบผลตอบแทนจนเกินไป
[ เศรษฐกิจไทยแนวโน้มดีขึ้น ]
ฝั่งประเทศไทย ‘ดร.มานะ’ มองว่ายังคงเติบโตอยู่ในช่วง 2% กว่าๆ ใกล้เคียงกับปีนี้ แม้จะไม่หวือหวา แต่มีปัจจัยหนุนหลายด้าน เช่น ความเป็นไปได้ของการเลือกตั้ง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ และการปรับโครงสร้างประเทศไปสู่เทคโนโลยีมากขึ้น
สิ่งสำคัญคือแนวโน้มดอกเบี้ยไทยที่มีโอกาสปรับลงต่อ ซึ่งช่วยให้สินทรัพย์ไทย เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และอสังหาฯ ได้รับอานิสงส์อย่างเห็นได้ชัด
ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ปีหน้า 2026 มีภาพรวมที่เป็นบวก สำหรับนักลงทุนไทยมากขึ้น แม้เศรษฐกิจอาจไม่ได้เติบโตแรงก็ตาม แต่โดยรวมมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
[ อุตสาหกรรมเด่นปี 2026 AI ยังนำ ]
‘ดร.มานะ’ อธิบายว่า หนึ่งในธีมที่ยังคงโดดเด่นที่สุดคือ AI เพราะกำไรของบริษัทเทคโนโลยียังเติบโตสูงมากเมื่อเทียบกับอดีต ทำให้มูลค่าหุ้นที่ดูแพงยังมีเหตุผลรองรับ ต่างจากช่วงฟองสบู่ดอทคอมอย่างชัดเจน
อีกทั้งธุรกิจที่อยู่ใน Ecosystem ของ AI ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตชิป ศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กลุ่ม Healthcare ซึ่งเคยเผชิญแรงกดดันด้านนโยบายมาหลายปี เริ่มกลับมาน่าสนใจมากขึ้น จากการปรับประมาณการกำไรขึ้น และมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ยังต่ำกว่าตลาด ถือเป็นกลุ่ม Defensive ที่มีความมั่นคงสูง เหมาะกับปีที่ตลาดผันผวนแบบ 2026
[ จัดพอร์ต ใช้โครงสร้าง Core–Satellite ]
‘ดร.มานะ’ แนะนำว่า นักลงทุนน่าจะต้องใช้โครงสร้างพอร์ตแบบ Core–Satellite เพื่อให้รับมือความผันผวนได้ดีขึ้น
โดย Core Portfolio ควรมีอย่างน้อย 60% และเน้นความมั่นคง เช่น กองทุนผสมคุณภาพดี หุ้นโลกที่คัดเลือกเชิงคุณภาพ และตราสารหนี้ซึ่งช่วยพยุงพอร์ตในช่วงตลาดผันผวน
ส่วน Satellite Portfolio ซึ่งเป็นส่วนเสริมเพื่อเพิ่มโอกาสเติบโต ควรใช้สัดส่วนราว 30–40% ลงแบบเจาะจงในธีมที่น่าสนใจ เช่น เทคโนโลยี AI ญี่ปุ่น เกาหลี Health Care เวียดนาม หรือทองคำที่ควรมีติดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง
โครงสร้างนี้จะช่วยทำให้พอร์ตสามารถทนแรงสวิงของตลาดได้ดี โดยที่ยังคงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์โลกด้วย
ท้ายที่สุด ‘ดร.มานะ’ ย้ำว่าการจัดพอร์ตให้ถูกทิศทางเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ อีกครึ่งหนึ่งคือ ‘วินัยในการลงทุน’ ไม่ว่าจะเป็นการทยอยสะสม การไม่ตื่นตระหนกเวลาเกิดเหตุการณ์ใหญ่ หรือการกลับมาทบทวนเป้าหมายอยู่เสมอ
ซึ่งหากพอร์ตมีแกนหลักที่แข็งแรงและการบริหารความเสี่ยงที่ดีอยู่แล้ว แม้จะเจอความผันผวนในปีหน้าก็อาจเป็นเพียงคลื่นสั้นๆ ที่พอร์ตสามารถฝ่าผ่านไปได้อย่างมั่นคง










