ในยามที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก (เหมือนตอนนี้) ผู้เขียนไปเจอกระทู้หนึ่งในเว็บบอร์ดยอดนิยมตลอดกาลอย่าง ‘พันทิป’ (Pantip) โดยเจ้าของกระทู้ตั้งคำถามว่า ‘ทำไมรัฐบาลไม่พิมพ์เงินแจกผู้เดือดร้อนไปเลย เห็นต่างประเทศเขายังทำ QE กันได้เลย’
ช่วงที่ถามเป็นช่วงเดือน เม.ย.ของปี 2563 ช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักๆ ตลาดหุ้นประกาศหยุดซื้อขายชั่วคราว (Circuit Breaker) ไม่เว้นวัน บรรษัทห้างร้านต่างๆ ต้องหยุดกิจการ นักท่องเที่ยวก็ไม่มี แม้ว่าตอนนี้จะลำบากไม่เท่าตอนนั้น แต่ก็แอบคิดถึงการพิมพ์เงินใช้เองเหมือนกัน
ถ้าทำได้ ก็คงจะดีไม่น้อย… (ในความคิดของประชาชนตัวเล็กๆ)
[ ทำไมสหรัฐพิมพ์เงินได้ไม่อั้น ]
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่มีความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินแบบขยายตัว โดยเฉพาะการพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านมาตรการที่เรียกว่า ‘การผ่อนคลายเชิงปริมาณ’ (Quantitative Easing: QE) ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะชะลอตัว
แม้การพิมพ์เงินจำนวนมากโดยทั่วไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น เงินเฟ้อและการด้อยค่าของสกุลเงิน แต่สหรัฐอเมริกากลับสามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้ในระดับที่ประเทศส่วนใหญ่ไม่สามารถทำตามได้ เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์เฉพาะของสหรัฐฯ ดังนี้
1. สถานะของดอลลาร์สหรัฐในระบบเศรษฐกิจโลก
ดอลลาร์สหรัฐถือเป็น ‘เงินสกุลหลักของโลก’ (Global Reserve Currency) ซึ่งหมายความว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลกถือครองดอลลาร์เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และใช้เป็นสื่อกลางในการค้าระหว่างประเทศ เช่น การซื้อขายน้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือการชำระหนี้ระหว่างประเทศ
ความต้องการดอลลาร์อย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้สหรัฐสามารถพิมพ์เงินออกมาโดยไม่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีอุปสงค์จากต่างประเทศรองรับอยู่เสมอ
2. ตลาดการเงินขนาดใหญ่และความเชื่อมั่นระดับโลก
สหรัฐอเมริกามีตลาดการเงินที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง (Safe Haven)
เมื่อรัฐบาลสหรัฐพิมพ์เงินเพื่อซื้อพันธบัตรของตนเองผ่านนโยบาย QE ตลาดมักยังคงให้ความเชื่อมั่นว่าจะสามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งทำให้ต้นทุนการกู้ยืมยังอยู่ในระดับต่ำ
3. ความสามารถในการควบคุมเงินเฟ้อในระยะยาว
แม้การพิมพ์เงินอาจสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ แต่สหรัฐอเมริกามีเครื่องมือและความน่าเชื่อถือทางนโยบายเพียงพอในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมาย (2%) ในระยะยาว
นอกจากนี้ Fed ยังมีอำนาจเต็มในการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การบริหารสภาพคล่อง และการออกมาตรการควบคุมตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนวัตกรรม เทคโนโลยี และบริษัทข้ามชาติชั้นนำที่สร้างรายได้ทั่วโลก ส่งผลให้มีความสามารถในการจัดเก็บภาษีและรักษาความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาว จึงช่วยรักษาความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและสกุลเงินของประเทศ
[ ไทยพิมพ์เงินไม่อั้นบ้างได้มั้ย ]
ในเชิงเทคนิค ประเทศไทยสามารถ ‘พิมพ์เงิน’ ได้ ผ่านการดำเนินนโยบายการเงินโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการออกธนบัตรและควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การพิมพ์เงินไม่สามารถทำได้ ‘ไม่อั้น’ หรือโดยไม่มีข้อจำกัด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของตลาดการเงิน
เหตุผลที่ประเทศไทยไม่สามารถพิมพ์เงินได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพราะสิ่งที่จะตามมา คือ…
1. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
การพิมพ์เงินจำนวนมากเกินไปโดยไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจรองรับจะทำให้ปริมาณเงินในระบบมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่มีอยู่ ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือเกิด ‘เงินเฟ้อ’ ซึ่งหากรุนแรงอาจกลายเป็น ‘เงินเฟ้อขั้นวิกฤต’ (Hyperinflation) เช่นที่เคยเกิดในซิมบับเวหรือเวเนซุเอลา
2. การด้อยค่าของเงินบาท
เมื่อมีการพิมพ์เงินมากเกินควร นักลงทุนและผู้ถือเงินอาจสูญเสียความเชื่อมั่นต่อค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการนำเข้า เงินเฟ้อ และเสถียรภาพเศรษฐกิจในภาพรวม
3. ผลกระทบต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ
ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ การพิมพ์เงินเกินความจำเป็นอาจกระทบต่อฐานทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งมีไว้เพื่อค้ำประกันความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศและรักษาเสถียรภาพค่าเงิน
4. ข้อจำกัดของความน่าเชื่อถือและระบบเศรษฐกิจ
ประเทศไทยไม่ได้มีสถานะเป็นผู้ออกเงินสำรองระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหมายความว่า การพิมพ์เงินบาทไม่สามารถแปรสภาพเป็นหนี้สาธารณะหรือสินทรัพย์ที่ทั่วโลกยอมรับได้ในระดับเดียวกัน
ประเทศไทยจึงต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งภายในและต่างประเทศ
[ แจกเงินต่างจากพิมพ์เงินยังไง ]
แม้จะดูคล้ายกันในมุมของผู้รับประโยชน์ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ ‘การแจกเงิน’ และ ‘การพิมพ์เงิน’ เป็นเครื่องมือนโยบายคนละประเภท มีที่มา ผลกระทบ และผู้ดำเนินการแตกต่างกันอย่างชัดเจน
📌 แจกเงิน: เครื่องมือของนโยบายการคลัง
การแจกเงิน (Fiscal Stimulus) หมายถึง การที่ภาครัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนหรือเยียวยาประชาชนโดยตรง เช่น โครงการเราชนะ คนละครึ่ง หรือเงินเยียวยาช่วงการระบาดของโควิด-19
เงินที่ใช้แจกจ่ายมักมาจาก:
• รายได้ของรัฐบาล (เช่น ภาษี)
• การกู้ยืมผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล
ผู้ดำเนินการ: รัฐบาลหรือกระทรวงการคลัง
ผลกระทบหลัก: เพิ่มการบริโภค กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง
ข้อจำกัด: ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น หากไม่มีรายได้มารองรับ
📌 พิมพ์เงิน: เครื่องมือของนโยบายการเงิน
การพิมพ์เงิน หรือ การเพิ่มปริมาณเงินในระบบ (Monetary Expansion) หมายถึง การที่ธนาคารกลาง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ Federal Reserve ของสหรัฐฯ เพิ่มปริมาณเงินผ่านการซื้อพันธบัตร หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ จากตลาด (เช่น มาตรการ QE)
เงินที่พิมพ์ขึ้นจะเข้าสู่ระบบผ่านกลไกการเงิน ไม่ได้ส่งตรงถึงประชาชน แต่จะเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ผู้ดำเนินการ: ธนาคารกลาง
ผลกระทบหลัก: ลดอัตราดอกเบี้ย กระตุ้นการลงทุนและปล่อยกู้
ข้อจำกัด: หากใช้เกินควร อาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อ และค่าเงินอ่อน
สรุป คือ แม้จุดประสงค์ของการแจกเงินและพิมพ์เงินจะคล้ายกันคือ ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ’ แต่แนวทาง ผลกระทบ และข้อจำกัดต่างกันโดยสิ้นเชิง การใช้นโยบายเหล่านี้จึงต้องพิจารณาควบคู่กับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของตลาดการเงินอย่างรอบคอบ
[ พิมพ์เงินไม่ใช่คำตอบทุกปัญหา ]
แม้การพิมพ์เงิน หรือการเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของธนาคารกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะชะลอตัว
แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ การพึ่งพานโยบายการเงินลักษณะนี้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง และไม่ได้ตอบโจทย์ทุกปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ
การพิมพ์เงิน (Monetary Expansion) เช่น การดำเนินมาตรการ QE มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ลดอัตราดอกเบี้ย และสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อในระบบ
แต่ข้อจำกัดสำคัญของมาตรการนี้คือ เงินที่ถูกเพิ่มเข้าสู่ระบบอาจไม่ไหลไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว
นอกจากนี้ การพิมพ์เงินในปริมาณมากเกินความจำเป็นยังอาจนำไปสู่…
• ภาวะเงินเฟ้อเรื้อรัง
• การด้อยค่าของสกุลเงิน
• การสูญเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ
ซึ่งท้ายที่สุดจะบั่นทอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม
ที่สำคัญ ปัญหาหลายด้านในระบบเศรษฐกิจ เช่น ความเหลื่อมล้ำเชิงรายได้ ประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี หรือความล่าช้าในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเพิ่มปริมาณเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง รวมถึงการปฏิรูปเชิงระบบในระยะยาว
ดังนั้น แม้การพิมพ์เงินจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในบางสถานการณ์ แต่ก็ไม่ใช่ ‘คำตอบของทุกปัญหา’ และควรใช้อย่างรอบคอบภายใต้กรอบนโยบายที่มีความรับผิดชอบและสมดุล…
ที่มา:










