ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้เร่งพัฒนาเศรษฐกิจของตนเองอย่างจริงจัง หนึ่งในประเทศที่น่าจับตามองคือ ‘กัมพูชา’ ที่แม้จะมีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าไทยหลายเท่า แต่กลับมีแนวโน้มการเติบโตสูง
ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยแม้ยังมีความได้เปรียบในหลายด้าน แต่ก็เริ่มเผชิญความท้าทายทั้งเชิงโครงสร้าง ประชากร และความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ
บทความนี้จะเจาะลึกการเปรียบเทียบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ เพื่อสะท้อนภาพรวม โอกาส และความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า…
[ ผู้นำรุ่นใหม่ แพทองธาร vs ฮุน มาแณต ]
การเปลี่ยนผ่านผู้นำของทั้งสองประเทศในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดการเปรียบเทียบเชิงการเมืองที่น่าสนใจ
ในประเทศไทย ‘แพทองธาร ชินวัตร’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถือเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นฐานจากครอบครัวการเมืองสายประชาธิปไตย
ขณะที่กัมพูชามี ‘ฮุน มาแณต’ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งเป็นบุตรชายของอดีตผู้นำฮุน เซน ผู้นำที่ครองอำนาจมายาวนานกว่า 38 ปี
แม้ทั้งสองจะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ แต่บริบทแตกต่างกันอย่างมาก แพทองธารต้องบริหารภายใต้ระบบรัฐธรรมนูญและเสียงจากสภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่ฮุน มาแณต มีโครงสร้างอำนาจที่มั่นคงจากการส่งไม้ต่อของพ่อ และยังควบคุมพรรครัฐบาลและกลไกทางการเมืองหลักไว้ได้อย่างแน่นหนา
การเปลี่ยนผ่านในทั้งสองประเทศจึงส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ โดยไทยเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนในเทคโนโลยี
ขณะที่กัมพูชาให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ และการเชื่อมต่อกับตลาดโลก

[ ประชากร: จุดต่างที่อาจพลิกอนาคต ]
เมื่อพูดถึงประชากร ไทยมีจำนวนประชากรอยู่ที่ 71.7 ล้านคน ในขณะที่กัมพูชามีประชากรเพียง 17.42 ล้านคน
แม้ไทยจะดูมี ‘ตัวเลข’ ที่ได้เปรียบ แต่ปัญหาคือโครงสร้างประชากรของไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายถึงภาระด้านสวัสดิการที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงานในอนาคต และศักยภาพในการผลิตที่ลดลง
ในทางตรงกันข้าม กัมพูชายังอยู่ในช่วงของประชากรวัยแรงงาน ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ นั่นหมายถึงกำลังแรงงานที่พร้อมจะรองรับอุตสาหกรรมใหม่ และความสามารถในการเติบโตทางเศรษฐกิจในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
แน่นอนว่าความได้เปรียบทางประชากรของกัมพูชาอาจยังไม่ส่งผลในทันที แต่ในระยะยาว หากมีการลงทุนในด้านการศึกษาและทักษะแรงงานที่เหมาะสม ก็อาจส่งผลให้กัมพูชากลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตมากที่สุดในภูมิภาค
[ จีดีพี: ไทยยังใหญ่กว่า แต่กัมพูชาโตแรง ]
มูลค่า GDP ของไทย ณ ปีล่าสุดอยู่ที่ 18.58 ล้านล้านบาท ขณะที่กัมพูชามี GDP เพียง 1.3 ล้านล้านบาท หากพิจารณาเพียงตัวเลข ประเทศไทยถือว่าอยู่คนละระดับกับกัมพูชาในเชิงมูลค่าเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้บอกเล่าทั้งหมด เพราะสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ ‘อัตราการเติบโต’
โดยกัมพูชามีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-7% ต่อปี ในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 และฟื้นตัวได้รวดเร็วหลังจากนั้น ขณะที่ไทยมีอัตราการเติบโตเพียง 1-3% ต่อปีในช่วงเดียวกัน
นั่นหมายความว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะใหญ่กว่า แต่ความเร็วในการเติบโตของกัมพูชาทำให้ระยะห่างนี้อาจแคบลงในอนาคต หากไทยไม่สามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันได้อย่างเพียงพอ
[ การลงทุนต่างชาติ: แรงดึงดูดของผู้เล่นใหม่ ]
FDI (Foreign Direct Investment) ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความน่าสนใจในการลงทุน จากข้อมูลล่าสุด ประเทศไทยมีมูลค่า FDI อยู่ที่ประมาณ 8.32 แสนล้านบาท ส่วนกัมพูชามีอยู่ที่ 2.64 แสนล้านบาท
แม้ไทยจะยังนำอยู่ในเชิงมูลค่า แต่สิ่งที่น่าจับตาคือแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เริ่มมองหาประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำและมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนที่ชัดเจน
กัมพูชาจึงกลายเป็นจุดหมายใหม่ของอุตสาหกรรมสิ่งทอ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโลจิสติกส์
ทั้งนี้ ไทยยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยกว่า แต่หากไม่สามารถรักษาความน่าสนใจได้ในระยะยาว อาจสูญเสียความเป็นผู้นำในภูมิภาคได้เช่นกัน
[ ส่งออก: ไทยยังแกร่ง แต่กัมพูชาก็ไม่น้อยหน้า ]
ด้านการส่งออก ไทยยังเป็นผู้เล่นหลักของภูมิภาค ด้วยมูลค่าการส่งออกที่สูงถึง 10.8 ล้านล้านบาทต่อปี ส่วนกัมพูชาอยู่ที่ 8.48 แสนล้านบาท
ตัวเลขของไทยสะท้อนถึงความหลากหลายของสินค้า ตั้งแต่สินค้าอุตสาหกรรม ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงสินค้าเกษตรแปรรูป
ในขณะที่กัมพูชายังเน้นการส่งออกในกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นหลัก โดยมีตลาดสำคัญคือสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังเริ่มมีแนวโน้มของการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเบา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการยกระดับอุตสาหกรรมในประเทศ
[ สรุป: คู่แข่งหรือพันธมิตรในอนาคต ]
เมื่อพิจารณาโดยรวม ไทยยังคงเป็นผู้นำในด้านขนาดเศรษฐกิจ โครงสร้างอุตสาหกรรม และการเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลก
แต่กัมพูชาก็กำลังไล่ตามอย่างไม่ลดละ ด้วยอัตราการเติบโตที่สูง โครงสร้างประชากรวัยแรงงานที่พร้อม และแรงจูงใจจากนโยบายภาครัฐที่เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ การแข่งขันในภูมิภาคไม่จำเป็นต้องเป็นศูนย์รวมของการเปรียบเทียบว่าใครเหนือกว่าใคร แต่อาจเป็นโอกาสของการสร้างความร่วมมือ
ไทยและกัมพูชาอาจเป็นหุ้นส่วนที่ช่วยกันขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น การเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน
ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศใดที่สามารถปรับตัวได้ก่อน ย่อมได้เปรียบ และนั่นอาจเป็นทั้งโอกาสและคำเตือนของไทยในการรักษาความเป็นผู้นำในภูมิภาคเอาไว้ให้ได้…
ที่มา:










