กฎหมาย ค่านิยม และการเหยียดเพศ สำรวจอุปสรรคของหญิงไทยบนเวทีการเมือง

กฎหมาย ค่านิยม และการเหยียดเพศ สำรวจอุปสรรคของหญิงไทยบนเวทีการเมือง

เมื่อว่าด้วยเรื่องของความเท่าเทียมทางเพศ (Gender Equality) แล้วนั้น ที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนและเรียกร้องจากกลุ่มคนมากมายจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ เปลี่ยนแปลงขนมเดิมๆ รวมถึงยกระดับบรรทัดฐานแห่งความเสมอภาคระหว่างเพศในสังคม 

โดยเฉพาะการเรียกร้องผลักดันให้เปิดพื้นที่และเวทีในการแสดงออกให้เพศหญิงได้แสดงความศักยภาพที่มีดีไม่แพ้ผู้ชายของตัวเองออกมา รวมถึงมีบทบาทที่สำคัญในหน้าที่ต่างๆ ให้มีความทัดเทียมกับเพศชาย

ด้วยผลจากการเรียกร้องเพื่อสิทธิและความเท่าเทียมนี้ เราเองก็ได้เห็นเหล่าสุภาพสตรีมากความสามารถ ที่ก้าวขึ้นมารับบทบาทสำคัญ ในการขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็น 

  • ‘แอนเจลา แมร์เคิล’ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงสุดแกร่งของเยอรมนี
  • ‘จาซินดา อาร์เดิร์น’ นายกรัฐมนตรีหญิงขวัญใจคนรุ่นใหม่ของประเทศนิวซีแลนด์ ที่เพิ่งประกาศลาออกไปไมานาน
  • ‘กามาลา แฮร์ริส’ รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ที่เป็นเหมือนหมุดหมายว่า โลกได้มีพัฒนาการมากเพียงใด ในประเด็นของความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิสตรี 

ตัดภาพมาที่ประเทศไทยของพวกเราเองก็ถือว่ามีพัฒนาการไม่น้อยเช่นกัน เรามีนักธุรกิจหญิง นายกรัฐมนตรีหญิง แคนดดิเดตนายกฯ หญิง รวมถึงผู้นำภาคประชาสังคมหญิงมากมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่องค์กรศูนย์กลางของประเทศอย่างองค์กรนิติบัญญัติ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการเลือกผู้บริหารประเทศ และออกกฎหมายออกมาบังคับใช้แก่ทุกคน สัดส่วน ส.ส.หญิง-ชายกลับอยู่ที่เพียง 75 ต่อ 15 % 

แสดงให้เห็นเลยว่าเมื่อมาถึงการตัดสินใจแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งประเทศไทยนั้น ผู้ชายยังคงมีสัดส่วนที่เหนือกว่าผู้หญิงอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ประชากรไทยมีสัดส่วนหญิงชายเกือบจะครึ่งต่อครึ่ง

TODAY ชวนสำรวจและเจาะลึกลงไปในโครงสร้างรัฐสภาจนถึงวัฒนธรรมไทยกันว่า เพราะเหตุใดจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรหญิงในประเทศไทยนั้น ถึงยังมีจำนวนที่น้อยมาก สวนทางกับกระแสของโลกอย่างสิ้นเชิง

ชุดความคิดที่ทำให้ผู้หญิงไทย “ไม่กล้า” ที่จะคลุกคลีกับการเมือง

สำหรับผู้หญิงในประเทศไทยหนึ่งในปัญหาสำคัญของมีบทบาทบนเวทีการเมืองนั้น คือทำให้ต้องพบเจอกับอุปสรรคทางกฎหมาย ที่ทำให้พวกเธอไม่สามารถเข้าถึงตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองอย่างเท่าเทียม ถ้าเปรียบเหมือนเกมกระดาน ก็เหมือนกับหมากก็อยู่บนกระดานเดียวกันกับผู้ชาย แต่เส้นทางของการเข้าสู่สภานี้ กลับต้องการพลังงานและความมุมานะที่ต่างกันอยู่มากโข

อันที่จริงแล้ว ความไม่เท่าเทียมนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนการทอยเต๋าครั้งแรก แค่ผู้หญิงจะนำตัวเองก้าวไปยังจุด “สตาร์ท” ว่าจะลงสมัครเข้าสู่โลกการเมืองก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก เหตุเพราะอุปสรรคด่านแรกที่พวกเธอต้องพบเจอก็คือค่านิยมและวัฒนธรรมทางสังคม ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเหล่าผู้หญิง จนท้ายที่สุดก็ต้องล้มเลิกความตั้งไป

เพราะเหตุใดถึงเป็นอย่างนั้น?

“ปัญหาที่ล้อมตัวเขาประการแรกที่สุดก็คือบทบาทที่เขาต้องทำ โดยเฉพาะบทบาทความเป็นแม่เป็นเมีย ดิฉันนึกถึงตอนที่อบต.เกิดขึ้นในประเทศไทยแรกๆ คุณไปนั่งฟัง ผู้หญิงเขาไม่มีคนเลี้ยงลูก ต้องไปรับลูก คุณประชุมเสร็จแล้วก็ต้องไปรับลูก แล้วถ้ารับลูกมาแล้วลูกฉันจะอยู่กับใคร” รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการของ TODAY

“คือปัญหาที่คุณนึกว่าเล็ก บทบาทแบบนี้ ซึ่งไม่ได้บอกว่าเขาถูกหรือผิด แต่คุณต้องคิดว่าความเป็นหญิงมันถูกนิยามอย่างหนึ่งปลูกฝังอย่างหนึ่งแล้วมันก็สร้างกำแพงล้อม ผู้หญิงหลายคนเขาจะไม่คิดถึงการเลือกตั้ง” นักวิชาการกล่าว

ช่างเป็นตลกร้ายเสียจริงที่ “ความเป็นแม่” ที่ถูกเชิดชูเสียเหลือเกินในเพศหญิง กลับกลายมาเป็นสิ่งสำคัญที่กำลังฉุดรั้งพวกเธอจากการมีบทบาทในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับลูกของตัวเองได้ ในสังคมที่มีความคาดหวังให้ผู้หญิงต้องเป็นแม่ หากไม่มีทุนทรัพย์หรือไม่มีคนช่วยเลี้ยงลูก การทำหน้าที่แม่ไปด้วยและต้องเข้าสู่เส้นทางการเมืองไปด้วยดูจะเป็นไปไม่ได้เลย 

นี่คือความจริงที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า เมื่อนำประเด็นของการเป็นพ่อแม่เข้ามาคำนึงแล้ว เพศชายดูจะเป็นฝ่ายได้เปรียบรวมถึงมีความเพรียกพร้อมคล่องตัวมากกว่าเพศหญิงอยู่หลายเท่าตัว

อย่างไรก็ดี “ทัศนคติและชุดความคิด” จากประชาชนเองก็มีอิทธิพลมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของการเมืองที่ไม่ได้ถูกนำเสนอให้เป็นพื้นที่ของผู้หญิง หรือวัฒนธรรมบทบาทของสามี-ภรรยาซึ่งก็มีผลกระทบที่ทำให้ผู้หญิงนั้นยังกล้าแสดงออกทางการเมืองเท่าที่ควร

พรรณิการ์ วานิช อดีตส.ส.พรรคอนาคตใหม่ บอกว่าหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ผู้หญิงไทยไม่อยากที่จะลงมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวก็คือ ชุดความคิดที่ภรรยาจะต้องไม่ทำตัวเกินหน้าเกินตาสามี  เธอเคยพยายามที่จะชักชวนผู้นำชุมชนหญิงคนหนึ่งมาร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ด้วย แต่เมื่อถึงคราวต้องตัดสินใจ เธอกลับ “เกรงใจสามี” จนสุดท้ายก็เลือกที่จะให้สามีเป็นผู้รับหน้าที่นั้นแทน

“เราเห็นว่ามีนักธุรกิจหรือนักวิชาการหรือผู้หญิงที่เป็นผู้นำชุมชน เวิร์คมาก อยากได้ ไปจีบเลย ไปถึงบ้านนั่งพับเพียบเรียบร้อยไปคุยกัน ปรากฏว่าผู้หญิงก็บอกว่า อยากลงมากเลยค่ะ แต่ขออนุญาตให้สามีลงแทน” อดีตผู้คัดเลือกผู้รับสมัครลงเลือกตั้งเป็นส.ส.พรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งปี 2562 กล่าว

“เพราะเป็นภรรยา เกรงใจสามี สามีอยากลงก็ให้สามีลงแทนดีกว่า ทั้งที่เราอยากได้ภรรยาเพราะว่าเป็นคนที่เก่งมาก มีเคสแบบนี้อยู่ซึ่งเป็นเคสต่างจังหวัด อาจจะเป็นที่สังคมตรงนั้นมีความเป็นอนุรักษนิยมสูงทำให้ภรรยาไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาสามี” พรรณิการ์ วานิช กล่าวเสริม

ที่ผ่านมามีหญิงผู้ทรงอิทธิพลหลายคนที่เติบโตมาในครอบครัวการเมือง เป็น “เจ๊ใหญ่” ของบ้าน ทำงานพื้นที่ แต่พอถึงเวลาที่จะได้รับสปอดไลต์ทางการเมืองเมื่อใด พวกเธอกลับตัดสินใจไม่ลงสมัครเอง ตราบใดที่ยังมีสมาชิกชายในครอบครัวลงสมัครแทน

โอฬาร ถิ่นบางเตียว นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาได้ยกตัวอย่างกับผู้สื่อข่าว TODAY ไว้ว่า กรณีของ “เจ้าแม่” คนหนึ่งแห่งพื้นที่บ้านเพ ชื่อว่า ‘เจ๊กิมห่อ’ อรุณเวสสะเศรษฐ โดย ‘เจ๊กิมห่อ’ เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้มีบทบาททางการเมืองเลย ไม่ได้ลงสมัครเลือกตั้ง แต่เธอเลือกใช้กระบวนการการสะสมทุนทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อช่วยเหลือคนระยองทั้งจังหวัด จนได้รับการขนานนามเลยว่าเป็น “เจ้าแม่น้ำเค็ม” ‘เจ๊กิมห่อ’เป็นผู้หญิงแต่สามารถส่งน้องชายทุกคนได้เป็น ส.ส. และ ส.จ.

หรือในกรณีของ สมชาย คุณปลื้ม หรือ ‘กำนันเป๊าะ’ โอฬารกล่าวว่า ทุกคนรู้ว่ากำนันเป๊าะแห่งตระกูลคุณปลื้มนั้นเป็นผู้มากบารมีในบางแสน เราเห็นภาพลูกชายของกำนันเป๊าะทั้งหมดในเวทีการเมืองเช่น สนทยา คุณปลื้ม, อิทธิพล คุณปลื้ม, หรือณรงค์ชัย คุณปลื้ม แต่แท้จริงแล้ว ในการทำงานการเมืองของตระกูลคุณปลื้มทั้งหมดนั้น คนที่กุมธุรกิจในครอบครัวไว้ ดูแลธุรกิจของครอบครัวทั้งหมด และเป็น “ผู้มีบารมี” จริงๆ ก็คือคุณจีราภรณ์ คุณปลื้ม ลูกสาวเพียงคนเดียวของกำนันเป๊าะนั่นเอง

เมื่อมาวิเคราะห์และสังเกตดูให้ดีแล้ว จะพบว่าผู้หญิงไทยเองนั้นก็ไม่เคยห่างจากเวทีการเมืองมากเท่าไรนัก พวกเธอเองก็มีความสามารถและมีความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนสังคมและช่วยเหลือประชาชนมากมาย แต่แทนที่จะยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง พวกเธอเลือกที่จะ “ปิดทองหลังพระ” รันวงการจากข้างหลังเสียมากกว่า

แล้วทำไมผู้หญิงผู้ทรงอิทธิพลเหล่านี้ ถึงไม่ก้าวสู่เส้นทางการเมืองเสียเอง? 

“ความคาดหวังประชาชนที่มีต่อนักการเมือง มันมีมากกว่าอำนาจหน้าที่อย่างเดียว มันมีความคาดหวังในการดูแลชีวิตในส่วนอื่นด้วย เช่นเวลานักการเมืองออกไปหาเสียงออกไปพูดคุย ก็ต้องพบปะกินเหล้า อาจจะกินเหล้าอาจจะต้องมีพฤติกรรมบางอย่างที่มัน อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วๆ ไป ถ้าผู้หญิงออกไป วงการสีเทาๆ ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าในมิติวัฒนธรรมแบบนี้มันเลยทำให้ผู้หญิงที่จะออกมาเป็นนักการเมืองเต็มสมบูรณ์นั้นน้อย” โอฬาร ถิ่นบางเตียว นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาแสดงทรรศนะ

“แต่ถามว่าทำไมมี ถ้าไปดูในหลายๆ ครอบครัวที่ผมมีข้อมูลอยู่ ที่ผู้หญิงต้องออกเพราะว่าบุคลากรมันไม่มีแล้ว ส่วนหนึ่งมันมาจากการไม่มีบุคลากรที่เป็นผู้ชาย จึงจำเป็นต้องส่งพี่ส่งน้องผู้หญิงเข้าสู่การเมือง โดยที่มีตัวคุณพ่อเป็นคนรันงานการเมืองให้” เขาชี้

นอกจากนี้ “ต้นทุนชีวิต” ของผู้หญิงทุกคนเองก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยเลยว่าพวกเธอจะสามารถมีโอกาสก้าวเข้าสู่สนามการเมืองได้หรือไม่ ซึ่งด้วยตัวแปรสำคัญอย่างสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันนั้น ทำให้มุมมองวิชาการบางส่วนมองว่า หากผู้หญิงไม่มีต้นทุนเป็นครอบครัวนักการเมืองมาอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เส้นทางสู่สภาของพวกเธอนั้นจะยิ่งยากแบบทวีคูณขึ้นไปอีก

และถ้าหากผู้หญิงคนไหนที่ก้าวข้ามค่านิยมของสังคมหรือครอบครัวมาได้ จนมาถึงขั้นตอนการลงสมัครจริงๆ แล้วละก็ โจทย์ท้าทายต่อไปที่พวกเธอก็คือ ต้องทำให้พรรคการเมืองเลือกให้เป็นแคนดิเดท ไม่ว่าจะเป็นส.ส.เขต หรือปาร์ตี้ลิสต์ 

เพราะด้วยภูมิทัศน์ของการเมืองไทยในปัจจุบันนี้ ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองที่สังกัดมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางว่าจะมีผู้หญิงเข้าสู่การเมืองมากน้อยแค่ไหน แถมยังไม่นับเกมการเมืองแบบพรรคพวกและกลุ่มอิทธิพล ที่ทำให้แนวโน้มที่ผู้สมัครเป็นแคนดิเดทที่มาจากตระกูลทรงอำนาจจะได้รับตั๋วพิเศษก่อนใครเพื่อน

และหากเราลองมาดูสัดส่วนทางเพศของแต่ละพรรคที่ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคในปี 2565 ก็จะพบได้ดังนี้ 

พอมาได้เห็นตัวเลขตรงนี้แล้วจะสังเกตได้เลยว่าผู้ชายยังคงเป็นเพศที่มีอิทธิพลเหนือกว่าเพศหญิงอยู่มาก เพราะจาก 5 พรรคใหญ่นั้น ค่าเฉลี่ยของกรรมการบริหารพรรคหญิงอยู่ที่ 19.6% มีบางพรรคที่กรรมการบริหารพรรคมีผู้หญิงเพียง 2 รายจากจำนวนคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 24 ราย ในขณะที่พรรคที่มีสัดส่วนมากที่สุดมีจำนวนกรรมการบริหารพรรคหญิงคิดเป็นเพียง 34% เท่านั้น

ตัวเลขอาจไม่ได้บอกทุกอย่าง เพราะการเลือกแคนดิเดท มีปัจจัยมากมาย เช่น ความเหมาะสมของตัวผู้สมัคร จังหวะของการงานอาชีพ ความมีชื่อเสียง แต่สัดส่วนผู้ชายที่มีตำแหน่งนำทางพรรคก็บอกสถานการณ์การคำนึงถึงบทบาททางเพศในพรรคมากน้อยเพียงใดได้เป็นอย่างดี

เมื่อเป็นอย่างนี้ คำถามต่อไปคือ ในสถานการณ์ที่แกนกลางของพรรคและผู้ที่เข้ามาในโลกการเมืองมีผู้ชายจำนวนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อจำนวนน้อยกว่าตั้งแต่ต้นทางอย่างนี้ ทำอย่างไรจะมีนักการเมืองผู้หญิงเข้ามามีบทบาทเป็นผู้สมัครได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหลายฝ่ายก็มีการยกประเด็นของการมี “โควตาสำหรับส.ส. หญิง” ว่าอาจจะเป็นทางออกของปัญหานี้ได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย

“ในบางที่ใช้ระบบโควตาโดยสมัครใจของพรรคการเมือง ยกตัวอย่างระบบบัญชีรายชื่อที่ใช้แบบ 1:1 หมายถึงรายชื่อเพศสภาพหญิง-ชาย อันนี้ก็เป็นลักษณะของโควตาโดยสมัครใจ ไม่ต้องกำหนดโดยรัฐธรรมนูญหรือกำหนดโดยกฎหมาย เป็นวิธีพรรคการเมืองสมัครใจ ซึ่งมันก็จะมีคำถามที่ตามมาว่า ที่คุณต้อง 1:1 แล้วคนที่จะเข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อซึ่งในที่สุดคุณใช้เพศสภาพกำหนด ซึ่งยุ่งมากเรื่องนี้” รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“สมัยพรรคอนาคตใหม่ เรื่องนี้เถียงกันเยอะมาก เราจะต้องมีโควตาสำหรับผู้สมัครหญิงหรือเปล่า? แล้วจำได้เลยว่าเป็นเรื่องที่เถียงกันแบบดุเดือด ดุเดือดมาก แล้วสุดท้ายเราก็จบลงด้วยสำหรับผู้สมัครเขต เราไม่ตั้งโควตา ถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ คนที่เป็นผู้ชายมีคุณสมบัติ มีอุดมการณ์แน่วแน่ชัดเจนกว่า แต่คุณต้องเลือกผู้หญิง เพียงเพราะเขาเป็นผู้หญิง พี่คิดว่าอันนี้ สำหรับผู้หญิงเองก็รู้สึกไม่แฟร์เหมือนกันใช่ไหม” พรรณิการ์ร์ วานิช อดีต ส.ส. พรรคอนาคตใหม่กล่าว แถมยังได้มีการเผยถึงจุดยืนส่วนตัวของเธอว่าไม่เชื่อเรื่องโควตา แต่โควตาที่คิดว่าจำเป็นจริงๆ เพื่อให้มี ส.ส. ที่มีหน้าตาหลากหลายและเป็นตัวแทนของคนในสังคมที่สุด อย่างโควตาสำหรับผู้ใช้แรงงาน ชาติพันธุ์ หรือผู้พิการ เพราะคนเหล่านี้มีอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นควรจะมีโควตาอยู่ใน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ

สำรวจอุปสรรคระหว่างทางเป็น ส.ส หญิง ตั้งแต่หาเสียงสู่คูหา

ต่อมา เมื่อเราลองมาดูถึงสัดส่วนของผู้ที่ลงสมัครเลือกตั้งในปี 2562 นั้น ก็พบได้ว่าการเลือกตั้งปี 2562 มีผู้หญิงได้รับเลือกเป็นแคนดิเดทจากพรรคต่างๆ รวมแล้วประมาณ 22.3% ของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งหมด แต่สุดท้ายแล้วมีผู้หญิงได้รับเลือกตั้งเพียง 16.2% เท่านั้น

สนามเลือกตั้งมีปัจจัยมากมายในการกำหนดชัยชนะเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะกับส.ส.เขต ซึ่งต่อให้เป็นในหมู่ผู้ลงสมัคร ส.ส.เพศชาย ความได้เปรียบเสียเปรียบก็แปรผันตาม ทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีอยู่เดิม เช่นในบางพื้นที่ ใครมีขุมพลังมากกว่าก็กุมชัยชนะได้มากกว่า 

แต่ในขณะเดียวกัน ในบางพื้นที่การนำเสนอดึงดูดคะแนนเสียงด้วยนโยบายของพรรค ก็สามารถเข้าถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว เส้นทางเหล่านี้อาจจะต้องพบเจอกับอุปสรรคที่แตกต่างกันออกไป

นอกจากความพร้อมด้านเศรษฐกิจ “ภาระในหน้าที่ความเป็นแม่” และวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยที่คาดหวังให้ผู้แทนสมาชิกเขตเป็นคนบริหารจัดการเรื่องสีเทาต่างๆ อุปสรรคหนึ่งที่ผู้หญิงพบมากกว่าผู้ชายอย่างเห็นได้ชัดที่สุดสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะคือ ความคาดหวังในเรื่องภาพลักษณ์ และการถูกโจมตีด้วยเหตุแห่งเพศ 

“เรื่องส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชู้สาว เสื้อผ้าหน้าผมต่างๆ เหล่านี้มันมีความพยายามโดยธรรมชาติของสังคมที่จะจับจ้อง จนรู้สึกว่าเอ๊ะ ชั้นมาทำงานการเมืองทำไมฉันต้องมาถูกตรวจสอบเรื่องที่ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับการเมืองเลย ผัวเป็นใคร พี่น้องยังไง ก็เป็นความเหนื่อยล้าทางจิตใจที่นักการเมืองหญิงต้องเผชิญมากกว่า รู้สึกเปลืองตัวมากกว่า คิดว่าเป็นสภาวะความเดือดร้อนของสังคมที่ผู้หญิงคิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะเข้ามา” พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ แชร์ประสบการณ์ของตัวเอง เกี่ยวกับการโดนคอมเมนต์ในแง่มุมต่างๆ ที่ดูเหมือนจะให้ความสนใจไปที่รูปลักษณ์ภายนอกและชีวิตส่วนตัว มากกว่างานที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ซึ่งนี่เองก็แสดงให้เห็นถึงอุปสรรคหลักของเหล่านักการเมืองหญิง ที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนักเมื่อพูดถึงนักการเมืองเพศชาย

ซึ่งอุปสรรคของเหล่านักการเมืองหญิงเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าแทรกซึมอยู่ในทุกแง่มุมของสังคม แม้กระทั่งนักการเมืองหญิงที่เกิดมาในครอบครัวการเมืองที่มีความพร้อมทางด้านทรัพยากรและความนิยมของครอบครัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ต้องเจอกับอุปสรรคในแบบของพวกเขาเองเช่นกัน โดยมีเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายชี้ว่าการที่คนมองว่าพวกเธอไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง เพียงแค่รอความสำเร็จจากครอบครัว ซึ่งปัญหานี้ก็คือว่าเป็นปัญหาของการเหยียดเพศมุมกลับเช่นเดียวกัน 

คำวิจารณ์ที่แฝงไปด้วยการโจมตีเหล่านี้ เปรียบเสมือนหุบเหวที่ต้องก้าวข้ามผ่านไป นักการเมืองหญิงหลายรายบอกว่าแม้จะเป็นอุปสรรค แต่หากเป็นคนที่เข้ามาแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่จะหยุดพวกเธอได้ 

“ก่อนหน้าจะเป็นน้ำคือคุณพ่อที่เป็น ส.ส. แล้วคุณพ่อเองนอกจากจะเป็นนักการเมืองก็คือเป็นแกนนำเสื้อแดง เพราะฉะนั้นภาพการเมืองของประชาชนที่มองในตอนนั้นก็คือมันค่อนข้างเข้มข้นตอนที่น้ำเข้ามาก็เลยมีหลายคนค่อนข้างจะไม่มั่นใจในความสามารถของเรา ด้วยความที่อายุยังไม่เยอะมากและเป็นผู้หญิงก็อาจจะมีคำถามในส่วนนี้เหมือนกัน” จิราพร สินธุไพร ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าว

“สุดท้ายน้ำเองใช้วิธีไปปราศรัยทุกหมู่บ้าน เขตน้ำมี 4 อำเภอ 30 ตำบล 384 หมู่บ้าน ไปปราศรัยทุกหมู่บ้านเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ แสดงความคิดของเราว่าเราจะสามารถต่อยอดความคิดประชาธิปไตยต่อจากคุณพ่อได้ไหม ขอถือไม่ต่อจากคุณพ่อได้ไหม จนชาวบ้านเริ่มมั่นใจในตัวเราสุดท้ายก็เลยเทคะแนนให้ได้มาเป็น ส.ส.” เธอเล่าต่อถึงประสบการณ์ในฐานะนักการเมืองหญิงที่มาจากครอบครัวการเมืองแบบเต็มตัว

แต่ก็ต้องยอมรับว่าความกดดันและเสียงวิจารณ์ทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นการบั่นทอนเหล่าผู้หญิงที่คิดจะลงสู่สนามการเมืองว่ามีอุปสรรคใดบ้างที่กำลังรอพวกเธออยู่บ้าง ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกว่า การลงสู่สนามการเมืองนั้นอาจจะเป็นอะไรที่ “เปลืองตัว” เกินไปแบบไม่จำเป็น

คำถามสำคัญอีกคำถามหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ทำไมเราต้องมี ส.ส.หญิง จำนวนมากกว่านี้? สภาที่มี ส.ส.หญิงจำนวนมากจะสามารถสร้างความแตกต่างที่ดีขึ้นมากแค่ไหนจากสภาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ รวมถึงถ้าเกิดขึ้นจริง มันจะได้ผลจริงหรือไม่?

หากเราดูตัวอย่างของต่างประเทศ ประเทศอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีสัดส่วน ส.ส.หญิงชายเท่าเทียมกันมากที่สุดได้แก่ รวันดา คิวบา นิการากัว เม็กซิโก ซึ่งเรียกได้ว่าประเทศเหล่านี้เองก็ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีเท่าไรนักเมื่อพูดถึงตัวแทนของความเท่าเทียมทางเพศ

ดังนั้น ณ จุดนี้ เราต้องกลับมาตั้งคำถาม ว่าเราต้องการ ส.ส.หญิงจำนวนมากเพื่ออะไรกันแน่?

สมมติฐานแรกเริ่มของทุกคนต่อประเด็นนี้ก็คือ มีความเชื่อว่าหากประเทศมี ส.ส.หญิงที่มากขึ้นแล้ว นโยบายที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของผู้หญิงย่อมดีขึ้นโดยปริยาย แต่สมมติฐานเหล่านี้มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงหรือไม่ 

โดย รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เองก็แสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่า เพศหญิงเองก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป ผู้หญิงทุกคนเองก็มีความแตกต่างกันสูง เมื่อเข้าไปนั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ย่อมที่จะมีความคิดเห็นและแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด 

เช่นเดียวกับ ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย เองก็เชื่อว่า สัดส่วนและจำนวนของ ส.ส. หญิงที่มากขึ้นนั้นก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ต้องดูบริบททางสังคมด้วยว่า พอมีจำนวนที่มากขึ้นแล้วสังคมจะให้โอกาสและเปิดให้ผู้หญิงที่มาเป็นผู้แทนสามารถใช้ตัวอำนาจหรือสิ่งที่เขาได้รับมากแค่ไหนด้วย

“ดังนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว อีกคำถามที่เราต้องถาม คือ หากตัวเลขของส.ส.หญิงในสภา ไม่ได้นำมาสู่ความเท่าเทียมทางเพศเลยเสียทีเดียว แล้วเหตุใดเราต้องสนใจสัดส่วนเรื่องเพศอยู่?” เธอถามต่อ

“มองมาที่จำนวนประชากรในประเทศไทย ประเทศไทยมีสัดส่วนเป็นเพศหญิงประมาณ 51% กล่าวคือเพศหญิงนั้นมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย แม้จะแค่ 1% แต่ก็ถือว่าเป็นหลักล้านคน ถ้าจำนวนประชากรต่างกันระดับล้านคน แล้วเหตุใดเป็นตัวแทนของประชาชนในระบบเสรีนิยมประชาธิปไตยกลับไม่สะท้อนความแตกต่างหรืออัตราส่วนตรงนี้?” เธอชี้

“ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นที่ครอบคลุมแค่เรื่องเพศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันคือประเด็นที่ว่าเพราะเหตุใด เหล่าคนที่นิยามตัวเองว่าเป็น “ตัวแทนของประชาชน” ถึงมีแค่กลุ่มคนไม่กี่กลุ่มเพียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่เฉดของกลุ่มคนในสังคมนั้นมีมากเกินกว่านั้นอย่างเห็นได้ชัด” ธิดารัตน์ ทิ้งท้าย

“หลายๆ คนอาจจะให้ความสำคัญเรื่องของการมีส.ส.ที่หลากหลาย มีผู้หญิง มี LGBT มีผู้ชายเข้าไปในสภามากขึ้น แน่นอนมันไม่ใช่ทั้งหมด เราไม่ได้ตัดสินว่าสังคมนี้มีประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพความเท่าเทียมมากน้อยแค่ไหน แต่มันเป็นตัวชี้วัดหนึ่งเลยนะว่าถ้าคุณมีส.ส.ที่หลากหลาย มันหมายความว่าการเมืองคุณเปิด”

“การเมืองที่เปิดคือการเมืองที่ทุกคนสามารถเป็นส.ส.ได้ ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาเพศไหน วัยไหนก็เข้ามาเป็นส.ส.ได้ และนั่นคือตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย” พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส. พรรคอนาคตใหม่กล่าวสรุป

 

This article was produced under the Asian Network for Free Elections (Anfrel) Southeast Asia Media Fellowship on Election Reporting.

WasineeWriterWasinee
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ-สิทธิมนุษยชน หมกมุ่นในการเล่าเรื่องราวของ "ผู้ไร้เสียง (The Subaltern)" บางวันเป็นพิธีกรข่าว workpointTODAY LIVE

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง