เมื่อไม่อยากให้การผลักดันนโยบาย จบที่ ‘ข้อเสนอ’ แต่ต้องได้ไปต่อจน ‘เป็นจริง’ คงไม่มีทางอื่นแล้ว หลังมีการประกาศยุบสภาไป เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 เพียงไม่นาน โลกออนไลน์ก็เริ่มคึกคัก เมื่อ ‘รศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ’ เปิดตัวผ่านสื่อในฐานะ ‘ว่าที่ สส.เขต’ สังกัดพรรคประชาชน โดยตั้งเป้าจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ในเขตตลิ่งชัน-ทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
ในแวดวงวิชาการอาจไม่ต้องแนะนำตัวซ้ำ สำหรับ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์และการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล
ทว่า นอกเหนือจากบทบาททางวิชาการ อ.อนุสรณ์ นิยามตัวเองว่าเป็น ‘นักบริหาร’ และ ‘นักกิจกรรมเพื่อความเป็นธรรม ประชาธิปไตย ความก้าวหน้าเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตประชาชน’ ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของหลายองค์กร รวมถึงเคยเป็นกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ การเปิดหน้าสู่สนามการเมืองของเขาในครั้งนี้ จึงถูกจับตามองว่าอาจเป็นหนึ่งตัวเร่ง ที่จะทำให้ภูมิทัศน์การเมืองไทยเปลี่ยนแปลง
ซีรีส์ Real politik คุยการเมืองเรียลๆ จากคนการเมืองจริงๆ ผ่านรายการ TODAY LIVE สำนักข่าวทูเดย์ จึงได้ชวน อ.อนุสรณ์ เปิดใจพูดคุย ตั้งแต่เหตุผลเบื้องหลัง ไปจนถึงความตั้งใจ และเป้าหมายในการทำงานงต่อจากนี้
Now or never ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง และสร้างประวัติศาสตร์
ถึงแม้บทบาทนักวิชาการ หรือความเป็นเทคโรเครต ของ อ.อนุสรณ์ จะโดดเด่นเห็นชัด และถูกกล่าวถึงมากที่สุด แต่อันที่จริงเขาเกี่ยวพันกับกิจกรรมเพื่อสังคม และการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาโดยตลอด
ช่วงวัยรุ่น เขาดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้ร่วมจัดตั้ง และผู้ประสานงานองค์กรนักศึกษาไทยในสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อต้านคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งก่อรัฐประหารยึดอำนาจในปี พ.ศ.2534 และปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง จนนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี พ.ศ.2535
เมื่อก้าวสู่เส้นทางสายอาชีพ อ.อนุสรณ์ เป็นทั้งผู้บริหาร และนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้คนหลายแวดวง มีส่วนร่วมกับรัฐบาลและหลายพรรคการเมืองผลักดันกฎหมายและความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายต่างๆ เช่น ระบบประกันสังคม กฎหมายสิ่งแวดล้อม การผลักดันให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง
ก่อนที่ ปี พ.ศ.2551 เขาเคยชิมลางสนามการเมืองครั้งแรก ด้วยการลงสมัครเลือกตั้ง สว. กรุงเทพฯ เพราะต้องการแสดงจุดยืนต่อต้านการรัฐประหาร พ.ศ.2549 และครั้งนั้นด้คะแนนกว่าสองแสนเสียง แม้ไม่ได้ตำแหน่งแต่ได้เกี่ยวเก็บประสบการณ์ ‘ลงพื้นที่’ พบประชาชน
ทว่า หลังจากทำงานในหลากหลายวงการมาถึงตอนนี้ อ.อนุสรณ์ ตระหนักว่านโยบายหลายอย่างที่พยายามผลักดันในฐานะนักวิชาการเป็นเพียง ‘ข้อเสนอ’ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ผู้มีอำนาจทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลาจะนำไปดำเนินการต่อหรือไม่ นี่เองจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลให้เขาตัดสินใจลงสนามการเมืองด้วยตัวเอง เพื่อผลักดันความคิดเห็นหรือข้อเสนอต่างๆ ให้ ‘เป็นจริง’
“เราทำงานในฐานะต่างๆ เช่น เสนอความเห็น ผลักดันนโนบายมาอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องอาสาทำงานทางการเมืองโดยตรง เนื่องจากว่าปัญหาของบ้านเมือง ปัญหาของประเทศมันมีวิกฤตหลายด้าน…”
“ผมอยากจะให้ประเทศไทยสามารถจะก้าวหน้ากว่านี้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้”

อีกหนึ่งเหตุผลส่วนตัว ที่ทำให้ อ.อนุสรณ์ ก้าวเข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัว คือ ‘วัย’ ซึ่งย่างเข้าสู่หลัก 59 ปีของชีวิต เขาจึงใช้คำว่า ‘now or never’ มาอธิบายการตัดสินใจของตัวเอง ด้วยมองว่า ถ้าไม่ลงมือทำตอนนี้ คงต้องไปอยู่ในบทบาทอื่นแทน เพราะเป้าหมายในการทำงานการเมืองของเขาไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่เป็นระยะยาว
“ผมทำงานการเมือง ไม่ได้ต้องการแค่แก้ปัญหา ผมต้องการสร้างประวัติศาสตร์ ที่มันจะอยู่กับสังคมไทย อยู่กับมนุษยชาติไปอีกยาวนาน”
“ผมต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้ประเทศไทยพ้นจากประเทศกับดักรายได้ระดับปานกลาง คือพ้นจากกับดักนี้ เข้าสู่การเป็นประเทศร่ำรวย และเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีกสิบปีข้างหน้า คือ 2579”
“ผมอายุมากแล้ว ผมมีความฝันว่าผมจะทำให้ได้ ผมจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ คือถ้าประเทศเราเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเหมือนเกาหลีใต้ เหมือนญี่ปุ่น เหมือนไต้หวัน เหมือนสิงคโปร์ ชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนก็จะเป็นชีวิตที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้ว”
สิ่งหนึ่งที่ อ.อนุสรณ์ ปรารถนาจะผลักดันให้เกิดขึ้น คือ ระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงประชาธิปไตยในแง่ของ ‘การเมือง’ เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความเป็นประชาธิปไตยในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับโครงสร้างทางสังคมและวิถีชีวิตของผู้คน
“ผมต้องการผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สามารถแข่งขันได้และมีความก้าวหน้า ในทางสังคม ผมต้องการสังคมที่มีเสถียรภาพและมีสันติ ผู้คนอยู่กันด้วยความมีภราดรภาพ มีความเป็นพี่เป็นน้อง และแน่นอนที่สุดว่าเราต้องการให้เกิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ ประชาธิปไตยที่แท้จริงในประเทศไทย”
“คำว่าประชาธิปไตยสมบูรณ์ เป็นคำพูดของท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ absolute democracy ก็คือประชาธิปไตยทางการเมือง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยในฐานะวัฒนธรรมและวิถีชีวิต อันนี้มันจะสมบูรณ์แบบ แล้วเราจะอยู่กันอย่างมีความสุขและเป็นประเทศที่น่าอยู่มากๆ”
2 ภารกิจหลัก: แก้กับดักรายได้ปานกลาง หยุดยั้งสงครามไทย-กัมพูชา
เมื่อได้รับคำถามว่า เป้าหมายสำคัญเร่งด่วนในการเปิดหน้าลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ครั้งนี้มีอะไรบ้าง อ.อนุสรณ์ เอ่ยย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจใน 2 ประเด็น ได้แก่ การทำให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (middle-income trap) และการหยุดยั้งสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา
แม้จะถูกตั้งข้อสงสัยว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำและการกระจายรายได้ของไทยสามารถแก้ได้จริงหรือ เพราะนี่คือเรื่องที่ถูกพูดถึงมานานนับทศวรรษ แต่ยังไม่มีรัฐบาลใดแก้ปัญหาได้จริงหรือยั่งยืนพอ อ.อนุสรณ์ กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่าประเด็นนี้ ‘แก้ได้’ ถ้ามีรัฐบาลหรือมีผู้นำทางการเมืองที่มีเจตจำนง และความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาจริงๆ
อย่างไรก็ดี เขายอมรับว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ‘ไม่ง่าย’ ต้องมีแรงเสียดทานเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องยึดมั่นและส่งเสริมให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
“เราต้องทำให้มีการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำงานอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการเมือง เริ่มจากผู้นำทางการเมือง”
“ถ้าเรายังมีปัญหาเรื่อง money politic การซื้อเสียง ซื้อนักการเมืองอยู่ แน่นอนที่สุด มันก็นำไปสู่การซื้อขายตำแหน่งในระบบข้าราชการ ในที่สุดกฎหมายก็ไม่ถูกบังคับใช้ ฉะนั้นคนที่มีเงินเทา มีเงินสกปรก เขาก็สามารถที่จะเข้ามามีอำนาจรัฐได้ ซึ่งเป็นอันตราย”
ส่วนประเด็นที่ 2 คือ สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา เขายืนยันว่า ผู้มีอำนาจทางการเมือง และคนในสังคมไทย ต้องไม่ทำให้เกิดสภาพที่ก่อความเกลียดชังกันอย่างไร้เหตุผล เพราะเป็นอันตรายและจะนำไปสู่ความรุนแรง โดยยกตัวอย่าง กรณีคนเยอรมันจำนวนมากสนับสนุนพรรคนาซีเยอรมนี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
“เราต้องปกป้องอธิปไตย เราต้องยืนหยัดในการดูแลผู้คนของเรา ดินแดนของเรา แต่เราต้องทำทุกอย่างด้วยการพิจารณาข้อมูลและเหตุผลที่ดีพอ เพราะบางทีสงครามมันเกิดจากชนชั้นนำ ชาวบ้านหรือประชาชนอาจจะไม่ได้ต้องการเลย แต่มันถูกปลุกกระแสโดยชนชั้นนำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
“ปัญหาทั้งหลายในอดีต ในประวัติศาสตร์ พอมันผ่านไปแล้วเราย้อนกลับไปดูจะเห็นว่า ทำไมประชาชนตอนนั้นถึงหลงผิดขนาดนั้น อย่างเช่นหลงผิดเลือก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พรรคนาซีให้ขึ้นมาบริหารประเทศแล้วก่อสงคราม”
“ช่วงแรกๆ ของสงครามประชาชนเยอรมันสนับสนุนด้วย เพราะหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง จะไปเอาดินแดนบางอย่างคืนมาให้อาณาจักรไรช์ที่ 3 เสร็จแล้วยังไงล่ะ คนตายไปสิบกว่าล้านคน”

ในทัศนะของ อ.อนุสรณ์ ปัญหากระทบกระทั่งเรื่องเขตแดนและดินแดนระหว่างไทยและกัมพูชาที่จริงแล้วไม่ใช่ปัญหาของทั้งสองประเทศ แต่เป็นมรดกบาปของลัทธิล่าอาณานิคมหรือประเทศมหาอำนาจในอดีต การแก้ปัญหาระหว่างเพื่อนบ้านที่ดีที่สุด จึงได้แก่การเจรจาทั้งทางการทูตและการเมือง แต่ไทยต้องสร้างความได้เปรียบในการเจรจาด้วย
เขายังระบุอีกว่า การผลักดันให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนมีความเป็นประชาธิปไตย เคารพหลักการสากล จะช่วยให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ‘คุยกันได้ง่ายขึ้น’
“ในอาเซียน สมมติประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าขึ้น ดีขึ้น แต่ประเทศรอบข้างมีปัญหา มันก็มีปัญหาอยู่ดี เหมือนกับกรณีสแกมเมอร์ กรณีอาชญากรรมข้ามชาติ ธุรกิจผิดกฎหมาย อยู่รอบบ้านเราหมด ในที่สุดเราก็กลายเป็นเป้า กลายเป็นฐานในการฟอกเงิน ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพัน”
“ผมมีความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่าถ้าสองประเทศ คือไทยและกัมพูชา เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง จะไม่มีสงคราม ที่มันมีปัญหาดินแดนและยังมีสงคราม ก็เพราะว่ามันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย”
“แต่เราจะไปเปลี่ยนเขมรให้เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องอำนาจอธิปไตย เรามีหน้าที่ส่งเสริมขบวนการประชาธิปไตยในกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่การไปแทรกแซงกิจการภายในของเขา แต่หมายความว่า เราต้องส่งเสริมให้เขมรเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย แล้วก็เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และยกระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น มันก็ดีกับเราด้วย จะคุยกันง่ายขึ้น”
“เราไปดูประเทศพัฒนาแล้ว ที่เป็นประชาธิปไตย แม้เกิดกรณีแบ่งแยกดินแดน เขาก็ใช้กระบวนการประชาธิปไตยให้ลงเสียงประชามติ ก็ไม่ต้องรบกัน”
“ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มันเป็นประวัติศาสตร์ของสงครามมากกว่าประวัติศาสตร์ของสันติภาพ แต่มนุษยชาติจิตใจต้องสูงกว่านี้ได้แล้ว เพราะนี่มันศตวรรษที่ 21 แล้ว”
ทำไมถึงลงเอยที่ ‘พรรคประชาชน’
ด้วยชื่อชั้นของ อ.อนุสรณ์ ผู้เคยมีประสบการณ์การทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย ในฐานะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ทั้งยังเคยทำงานในฐานะประธานร่างแผนการศึกษา สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสืบเนื่องจากตำแหน่งเดิมที่เขาได้รับในรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้เขาถูกทาบทามจากพรรคการเมืองอยู่เรื่อยๆ
การผันตัวจากนักวิชาการสู่เส้นทางการเมืองของเขา โดยเลือกเข้าสู่สังกัด ‘พรรคประชาชน’ ซึ่งแตกหน่อต่อยอดมาจาก พรรคอนาคตใหม่ และ พรรคก้าวไกล ซึ่งมีชะตากรรม ‘ถูกยุบพรรค’ ติดต่อกัน จึงเป็นเรื่องฮือฮาไม่น้อยในสายตาคอการเมืองไทย
เขาอธิบายว่า หลายพรรคการเมืองถูกยุบ ไม่ใช่แค่อนาคตใหม่หรือก้าวไกล แต่รวมถึงพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกยุบอย่างไม่เป็นธรรม หลังการรัฐประหารในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ก่อนจะกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
การสกัดกั้นพรรคการเมืองด้วยวิธีการนี้ ไม่เพียงเป็นการทำลายระบบ ทั้งระบบนิติรัฐ นิติธรรม และระบบศาล แต่ยังเป็นการใช้รัฐธรรมนูญที่ร่างแบบไม่เป็นประชาธิปไตยในฐานะเครื่องมือจัดการกับรัฐบาลที่ชนชั้นนำ ที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมเชิงจารีตหวาดระแวง
แต่ ‘ณ ตอนนี้’ อ.อนุสรณ์ มองว่าพรรคประชาชน คือพรรคการเมืองที่มีเป้าหมาย และอุดมการณ์สอดคล้องกับตัวเองมากที่สุด ทั้งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของประชาชน เพราะมีจุดยืนด้านประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง พยายามพัฒนาให้พรรคการเมืองเป็นพรรคของมวลชน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้
แม้จะถูกมองว่าเป็น ‘เบอร์ใหญ่’ แต่ อ.อนุสรณ์ ยืนยันว่าเขาเข้าฟังการบรรยายและเข้ารับการอบรมอย่างเป็นขั้นตอนตามระบบของพรรคทุกครั้ง เช่นเดียวกับว่าที่ผู้สมัคร สส. คนอื่นโดยไม่มีการใช้กลไกพิเศษใดๆ
“ระบบของพรรคประชาชนเป็นระบบที่ดี ตั้งใจจะทำให้พรรคการเมืองมีความเป็นสถาบันจริงๆ เขาอบรมให้ความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การพูดคุยเรื่องอุดมการณ์ การเป็นนักการเมืองที่ดีเป็นยังไง แล้วต้องทำการบ้านด้วย ให้คิดนโยบาย ให้เขียนข้อเสนอในการแก้ปัญหา เหมือนเป็นโรงเรียน ซึ่งผมว่าดี”
ส่วนเหตุผลในการเลือกสมัครเป็นว่าที่ ‘สส.เขต’ แทนที่จะเป็น ‘สส.บัญชีรายชื่อ’ เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเขตตลิ่งชัน-ทวีวัฒนามานาน ตั้งแต่เรียนจบจากสหรัฐอเมริกากลับมา จึงมองเห็นว่าปัญหาหลายอย่างควรได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ เขายังต้องการย้ำจุดยืนเรื่องหลักความเป็นธรรม ความเท่าเทียม และส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตยภายในพรรคด้วย
“มีคนให้ความเห็นเยอะว่าบัญชีรายชื่อน่าจะทำให้ผมสามารถทำงานในวงกว้างได้มากกว่า หรือทำงานในเชิงนโยบายที่ผมถนัดมากกว่า แต่เราต้องดูความเหมาะสมด้วย เนื่องจากว่าเราเป็นผู้มาใหม่ เราต้องให้โอกาสคนที่เขาอยู่ก่อน มาก่อน เราต้องมาตามขั้นตอน”
“เราอย่าไปคิดว่าเราใหญ่ เราเก่งกว่าคนอื่น คนทุกคนมีความสามารถหมด แต่เขาอาจจะมีบทบาทหน้าที่ต่างกันไป แล้วผมคิดว่าคนเรามันเท่ากัน”
“ถ้าเราคิดว่าวัฒนธรรมแบบนี้ยังไม่ดีที่สุด เราต้องทำให้ประชาชน ทำให้สังคมเห็นว่าการเลือก สส.คือเลือกคนไปทำหน้าที่ในระดับประเทศ ไปออกกฎหมาย เราก็ต้องเน้นไปที่ตรงนั้น แต่แน่นอนว่า สส. โดยเฉพาะ สส.เขต ต้องมีความสัมพันธ์กับชาวบ้าน กับประชาชน คุณจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรเลยมันก็ทำงานไม่ได้”

ไม่หวั่นแรงเสียดทาน ยึดหลักประนีประนอม พร้อมสู้ด้วยข้อเท็จจริง
เมื่อตัดสินใจเป็น ‘กองหน้า’ ในสนามการเมือง ย่อมมีโอกาสตกเป็นเป้าของการถูกขุดคุ้ย ตรวจสอบ ไปจนถึงเผชิญหน้าการโจมตีจากคู่แข่งหรือผู้มีอุดมการณ์แตกต่างกัน
อ.อนุสรณ์ กล่าวว่าคำนวณเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว และสิ่งที่ต้องเจออาจรวมถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือการเข่นฆ่ากันทางการเมือง เขาจึงบอกตัวเองว่า ต้องกล้าหาญพอที่จะต่อสู้และยอมรับผลที่อาจตามมา เพราะนี่คือสิ่งที่ ‘เลือกแล้ว’
เขายังกล่าวถึงประสบการณ์ในฐานะตำแหน่งประธานสถาบันปรีดี พนมยงค์ ทำให้รับรู้ว่าเครือข่ายเผด็จการ หรือเครือข่ายจารีตอนุรักษนิยมทำอะไรไว้บ้างกับปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำคณะราษฎร โดยมีทั้งการโจมตีกล่าวหาด้วยความเท็จ แต่ในที่สุดความจริงก็คือความจริง สามารถพิสูจน์ได้ และผลของการกระทำดียังคงอยู่
หากวันข้างหน้ามีการกล่าวหา หรือแม้กระทั่งถูกกลั่นแกล้ง ยัดข้อหา ถูกดำเนินคดี และถูกจับติดคุก อ.อนุสรณ์ กล่าวว่าเขาจะนึกถึงรัฐบุรุษคนอื่นๆ ในอดีตที่เคยต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมมาก่อน
เจ้าตัวอ้างถึงเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิความเสมอภาค เป็นเหตุให้ถูกจับขังคุกนานยี่สิบกว่าปี แต่ก็ยังอดทนได้ และเอ่ยถึงโฮจิมินห์ นักปฏิวัติและอดีตผู้นำเวียดนาม ที่ต่อสู้เพื่อเอกราชแล้วถูกเจ้าอาณานิคมขังคุกอย่างไม่เป็นธรรม โดยย้ำว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ คำนวณไว้แล้ว และยอมรับได้
“ถ้าไม่เป็นธรรม เราก็ต้องต่อสู้ ต้องปกป้องเกียรติภูมิ ปกป้องชื่อเสียงเรา หรืออาจจะมีแม้กระทั่งเผยแพร่ความเท็จเพื่อทำลายชื่อเสียง บางทีการฆ่ากันทางการเมืองมันฆ่าได้หลายรอบ เราก็ต้องต่อสู้ด้วยความจริง”
“สิ่งที่เราทำ ถึงที่สุดคนอาจจะลืม มหาบุรุษ-รัฐบุรุษมากมาย ทำประโยชน์ไว้ อาจได้รับการจดจำมากกว่าคนโดยทั่วไป แต่ถึงที่สุดคนก็อาจจะลืมได้ถ้าเวลามันยาวนาน แต่ผลของสิ่งที่เขาทำมันจะอยู่ไปอีกยาวนาน ซึ่งอันนั้นแหละคือสิ่งที่สำคัญกว่า”
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์และความนิยมของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นตัวเลือกของ อ.อนุสรณ์ในเส้นทางสายการเมือง กำลังเผชิญภาวะสั่นคลอนอย่างหนักหลังจากพรรคมีมติโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
การเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคประชาชน จึงถูกประเมินว่าอาจไม่ประสบความสำเร็จเหมือนพรรคก้าวไกล ที่ได้รับคะแนนนำเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว การต่อสู้ผลักดันในแง่นโยบายทางการเมืองที่เขามุ่งมั่นอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
ประเด็นนี้ อ.อนุสรณ์ ออกตัวว่า เขาไม่รู้รายละเอียดลึกๆ เรื่องที่กรรมการบริหารพรรคเจรจากันจนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ส่งผลกระทบต่อฐานเสียงของพรรค แต่ถ้าให้มองในแง่บวก คิดว่านี่คือการตัดสินใจในแบบที่ ‘ไม่มีทางเลือก’ มากนัก และกรรมการบริหารอาจมองว่านี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนั้นแล้ว
ส่วนกรณีที่พรรคประชาชนถูกประเมินว่าจะต้องเจอกับ ‘โจทย์ยาก’ คือต้องได้คะแนนเสียงอย่างน้อย 250 เสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ไม่เช่นนั้นอาจสูญเสียศรัทธา และการสนับสนุนของประชาชนไป อ.อนุสรณ์ มองว่าเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ และต้องหาทางรับมือ ในกรณีที่คะแนนเสียงไม่ถึงเป้าหมาย พรรคประชาชนต้องไปร่วมกับพรรคอื่นจัดตั้งรัฐบาล แต่ด้วยจุดยืนของพรรคบางอย่างที่แข็งมากอาจทำให้ไม่สามารถดึงพรรคอื่นมาร่วมได้ การเปลี่ยนแปลงสังคมหรือประเทศให้ดีขึ้นก็เกิดขึ้นยาก
เขามองว่าพรรคจำเป็นจะต้องมีทั้งกลยุทธ์และยุทธศาสตร์ โดยปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงนั้น หรือหาพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันได้ แต่ยุทธศาสตร์ต้องไม่เปลี่ยน
“สมมติว่าได้ไม่ถึง 250 แล้วเราไม่ได้เป็นรัฐบาล การที่เราจะผลักดันอะไรตามเป้าหมายมันก็เกิดขึ้นได้ยาก เราก็ต้องพยายามที่จะหาพันธมิตรให้ได้ หาพันธมิตรที่มีความใกล้เคียงทางอุดมการณ์มากที่สุด เข้ากันได้ ทำงานด้วยกันได้ จะได้ตั้งรัฐบาลได้
“ถ้าเราแข็งตัวมาก บอกว่าไม่ได้เลย เราต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องยอมรับตรงนั้น แล้วสร้างผลงานขึ้นมา อีกสี่ปีข้างหน้าค่อยเลือกตั้งกันใหม่ แต่เราก็ต้องดูความเป็นจริงด้วย ถ้าสมมติเราไม่ได้เป็นรัฐบาลเลย ก็ไม่มีโอกาสสร้างผลงาน ในขณะที่เราก็ต้องรักษาศรัทธาและความเชื่อมั่นของมวลชนด้วย”
เขายกตัวอย่างเส้นทางการเมืองของอับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งแพ้เลือกตั้งหลายครั้ง ไม่ค่อยได้รับความนิยมในยุคนั้นเพราะข้อเสนอเรื่องการเลิกทาสหรือข้อเสนออื่นๆ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ แต่เขายังคงมุ่งมั่นจนกระทั่งชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีลำดับที่ 16 และผลักดันการเลิกทาสได้สำเร็จ
ประเด็นสำคัญที่สุดจึงได้แก่ การยึดมั่นในหลักการ และอย่าสูญเสียความเป็นตัวเอง “ค่อยๆ สะสมชัยชนะไปก็ได้ แต่อย่าให้เสียความเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเสียความเป็นตัวเองเท่าไหร่ เสียศรัทธาและความเชื่อมั่นเมื่อไหร่ ไปต่อไม่ได้”










