ธนาคารกรุงเทพ ประกาศงบไตรมาสแรกปีนี้ กำไร 10,129 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 42.3% และเติบโตจากไตรมาสที่แล้ว 33.8%
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงานและการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันการส่งออกเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวขึ้นบ้างจากที่หดตัวในช่วงก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และสถานการณ์ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
ภายใต้ทิศทางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักความระมัดระวังรอบคอบ ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ธนาคารให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจตามแนวโน้มของสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งด้านดิจิทัลเทคโนโลยี นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต
รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ภายใต้เจตนารมณ์ของการเป็น ‘เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน’
ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 10,129 ล้านบาท
ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 10,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 7,118 ล้านบาท และเติบโต 33.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีกำไร 7,569 ล้านบาท
โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย สุทธิกับค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากและการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าสู่ระดับเดิมที่ 0.46% ต่อปี และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.84%
สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็น 46.8% ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 8,474 ล้านบาท โดยพิจารณาถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2566 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,640,090 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ 1.6% จากสิ้นปี 2565 ส่วนใหญ่จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจและสินเชื่อลูกค้ากิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ 3.1%
ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 265.1%
ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2566 จำนวน 3,205,989 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปี 2565 และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 82.3%
ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 19.2% 15.7% และ 14.9% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด










