ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศมาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน (Quantitative Easing: QE) ผ่านการรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลแบบไม่จำกัดจำนวนจนถึงวันที่ 14 ต.ค. 2565 เพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงิน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลอังกฤษ (UK Bond Yield) ปรับขึ้นร้อนแรง สวนทางกับค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงอย่างรุนแรง
หลังอังกฤษประกาศมาตรการ QE ในคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ UK Bond Yield ปรับตัวลดลงทันที เช่นเดียวกับค่าเงินปอนด์ที่กลับมาแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ มาตรการ QE ของอังกฤษยังส่งผลบวกต่อตลาดการเงินและตลาดการลงทุนโลก โดยเฉพาะ Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐที่ลดลงหนักที่สุดในตลาดอยู่ที่ 3.74% จากก่อนหน้านี้เคยพุ่งแตะ 4.00%
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ (Dollar Index) พลิกกลับมาอ่อนค่า หนุนให้เม็ดเงินลงทุนกลับเข้าไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น สะท้อนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดบวกกว่า 500 จุด ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ก็มีแนวโน้มปรับขึ้นตามดาวโจนส์ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่เปิดเช้านี้บวกขึ้นไปมากกว่า 12 จุด
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท แม้ในคืนที่ผ่านมาจะมีจังหวะแข็งค่าต่ำกว่า 38.00 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ลงมาทดสอบที่ 37.720 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ แต่เช้านี้ยังกลับมายืนเหนือ 38.00 บาทต่อ 1 ดอลลาร์เช่นเดิม
‘กิจพณ ไพรไพศาลกิจ’ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (19-23 ก.ย.) รัฐบาลใหม่ของอังกฤษประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาเงินเฟ้อด้วยการลดภาษีขนาดใหญ่ 4.5 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 1.8 ล้านล้านบาท)
ซึ่งส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่า จะกระทบกับฐานะการคลังของอังกฤษที่ประสบปัญหาขาดดุลอยู่แล้ว และส่งผลให้ตลาดตอบรับด้วยการเทขายพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ จน Bond Yield อายุ 30 ปี ปรับขึ้นไปที่ระดับ 5% จาก 3.5% ซ้ำเติมสถานการณ์ค่าเงินปอนด์
นอกจากนี้ กองทุนบำนาญที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่ใช้กลไกของอนุพันธ์ในการบริหารสัดส่วนของตราสารหนี้ระยะยาว ประสบปัญหาขาดทุนหนักจากการดีดตัวของผลตอบแทนพันธบัตร จนเริ่มถูกเรียกวางหลักประกันเพิ่ม
สองปัจจัยข้างต้นทำให้ธนาคารกลางอังกฤษไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องประกาศแทรกแซง โดยเข้าซื้อพันธบัตรจนถึง 14 ต.ค. หรือจนกว่าสถานการณ์ของตลาดจะกลับสู่ปกติ
ส่วนสัญญาณแทรกแซงอื่นๆ ได้แก่ ธนาคารกลางเกาหลี (BOK) เริ่มเข้าแทรกแซงค่าเงินและพันธบัตร ผ่านการทำข้อตกลงสวอปค่าเงินกับกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติเกาหลี และประกาศวงเงินซื้อพันธบัตร 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8 หมื่นล้านบาท)
ไต้หวันเริ่มเข้ามาดูแลค่าเงินใกล้ชิด และอาจมีการห้ามใช้มาตรการขายชอร์ตหุ้น ส่วนจีนเริ่มมีความเคลื่อนไหวภาครัฐให้คำแนะนำนักลงทุนสถาบันหลีกเลี่ยงการขายหุ้นปริมาณมากและติดตามดูแลค่าเงินมากขึ้น
ที่มา:










