ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าแตะ 36 บาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีนั้น ธปท.จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
โดยชี้ว่า สาเหตุของบาทอ่อนค่าระลอกนี้ เป็นผลจากที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก 11.3% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 7 ก.ค. 2565) ส่งผลให้ค่าเงินหลายประเทศ โดยเฉพาะเอเชีย ต่างอ่อนค่าสวนทางกับเงินดอลลาร์
ในกรณีของค่าเงินบาท เมื่อเปรียบเทียบกับการอ่อนค่าของสกุลเงินอื่นๆ ยังอยู่ในระดับปานกลาง 7.6% เมื่อเทียบกับภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น 15.3% ฟิลิปปินส์ 9% และ เกาหลีใต้ 8.5%
นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ซึ่งเป็นดัชนีที่เทียบค่าเงินบาทกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของไทย ยังอ่อนค่าอยู่ที่ระดับ 1.5% เท่านั้น ตอกย้ำประเทศคู่ค้าและคู่แข่งก็ภาวะค่าเงินอ่อนค่าเช่นกัน
ส่วนความเสี่ยงเงินทุนไหลออกที่อาจกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงอีกนั้น พบว่า นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 5 ก.ค. 2565) กระแสเงินลงทุน (Fund Flow) ของนักลงทุนต่างชาติยังเข้าซื้อสุทธิ 9.7 หมื่นล้านบาท
โดยซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.04 แสนล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 7 พันล้านบาท และยังไม่เห็นสัญญาเงินทุนไหลออก
ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 2.51 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9 ล้านล้านบาท สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นกว่า 3 เท่า และหากเทียบทุนสำรองต่อจีดีพี พบว่าไทยมีความแข็งแกร่งสูงเป็นอันดับ 6 เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
ดังนั้น แนะนำผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน อย่างไรก็ตาม หากมีปัจจัยที่กระทบให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากเกินไป ธปท.ก็พร้อมจะเข้าดูแล
