วันนี้ (25 พ.ย. 65) ตัวแทนภาคประชาชนกลุ่ม Beach for life และเครือข่ายทวงคืนชายหาดจาก 91 องค์กรทั่วประเทศเดินทางยื่นหนังสือที่สำนักนายกรัฐมนตรีพร้อมข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่
- ยกเลิกมติ ครม. ที่ให้อำนาจกรมโยธาธิการฯ ดำเนินการเเก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
- ขอให้นำกำเเพงกันคลื่นกลับมาเป็นโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งเเวดล้อม(EIA)
- รัฐบาลต้องฟื้นฟูชายหาดที่เสียหายจากกำเเพงกันคลื่น โดยเฉพาะหาดท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยโดยเร่งด่วน
ตัวแทนกลุ่มนำโดย กรรณิกา ชัยแก้ว ได้ขึ้นอ่านแถลงการณ์ต่อหน้าตัวแทนผู้รับหนังสือ โดยระบุว่า การดำการป้องกันชายฝั่งของรัฐบาลที่ผ่านมานั้นสร้างปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากรัฐบาลโดยหน่วยงานต่าง ๆ เลือกใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมในการป้องกันชายฝั่งด้วยงบประมาณมหาศาล แต่อย่างไรก็ตามการกัดเซาะชายฝั่งกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น
แถลงการณ์ระบุเพิ่มเติมว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และความขัดแย้งในพื้นที่ชุมชนจากการสร้างกำแพงกันคลื่นที่ผ่านมาล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลจากการมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมืองมีอำนาจในการแก้ไขตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2534 และวันที่ 3 กุมภาพัน 2539 ทำให้กรมโยธาฯ และผังเมืองเป็นหน่วยงานหลักในการทำโครงการป้องกันชายฝั่ง อีกทั้งยังได้เพิกถอนโครงการกันคลื่นออกจากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ตามประกาศแนบท้ายของกระทรวงทรัพยากรเมื่อปี 2566 ทำให้หลักประกันสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูยหายไป และขาดการตรวจสอบ ทั้งยังพบว่าหลังจากถอดออกจากการตรวจสอบ EIA มีโครงการกำแพงกันคลื่นเพิ่มขึ้นกว่า 125 โครงการระบาดทั่วชายหาดของประเทศ
ก่อนหน้านี้ตัวแทนกลุ่ม Beach for life และเครือข่ายทวงคืนชายหาดเคยยื่นหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่ไร้ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา ในวันนี้จึงเดินทางมายังสำนักนายกรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อทวงถามถึงการแก้ไขจากรัฐบาล โดยตัวแทนผู้มอบหนังสือกล่าวว่ามีเวลาให้รัฐบาล 10 วันจะต้องได้คำตอบ แต่หากยังคงเพิกเฉยและไม่มีความคืบหน้า ทางกลุ่มพร้อมด้วยประชาชนจะกลับมาทวงถามอีกครั้งหนึ่ง ด้านตัวแทนที่มารับหนังสือกล่าวกับกลุ่มผู้มายื่นหนังสือว่า จะนำเรียนท่านนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ทราบข้อมูลดังกล่าว
อย่างไรก็ตามทางกลุ่ม Beach for life และเครือข่ายทวงคืนชายหาดเรียกร้องให้มีคำสั่งยกเลิกมติค.ร.ม. ที่ให้อำนาจกรมโยธาธิการในการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น เนื่องจากมองว่ากรมโยธาฯ ไม่มีความรู้ในการสร้างกำแพงกันคลื่นเป็นเหตุให้พื้นที่บริเวณชายหาดได้รับความเสียหาย และต้องทบทวบบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะหากปล่อยให้กรมโยธาธิการมีอำนาจในโครงการสร้างกำแพงกันคลื่นต่อไปอาจจะสร้างความเสียหายมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และรัฐต้องฟื้นฟูชายหาดที่ได้รับความเสียหายจากโครงการก่อนหน้าอย่างเร่งด่วน










