ถ้าย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อน การจะซื้อของชิ้นหนึ่ง เรามักต้องถามตัวเองก่อนเสมอว่าเงินพอไหมหรือ รอเงินเดือนรอบหน้าดีกว่าไหมแต่วันนี้คำถามเหล่านั้นค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยปุ่มสั้นๆ บนหน้าจอว่า ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ หรือ Buy Now Pay Later (BNPL) กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ หรือแม้แต่ของใช้จุกจิก ทุกอย่างดูเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องรูดบัตร ไม่ต้องกดเงินสด และไม่ต้องรู้สึกว่า ‘กำลังเป็นหนี้’ ในทันที แต่ภายใต้ความสะดวกนั้น ภาพการเงินของผู้บริโภคไทยกลับไม่ได้สดใสเท่าที่ควร
[ รายได้ไม่ทันรายจ่าย จุดเริ่มต้นความเปราะบาง ]
ข้อมูลจากการสำรวจผู้บริโภคของ SCB EIC สะท้อนภาพที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา นั่นคือ คนไทยจำนวนมากกำลังอยู่ในภาวะที่ ‘รายได้โตช้ากว่ารายจ่าย’
ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 70% มีรายได้เท่าเดิมหรือปรับลดลงในขณะที่กว่า 90% ต้องรับมือกับรายจ่ายที่เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น เมื่อเงินเข้าไม่ขยับ แต่เงินออกยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ความตึงมือจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดยังคงเป็นกลุ่มรายได้น้อยโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน แต่สิ่งที่น่ากังวลมากขึ้นคือ สัญญาณความเปราะบางเริ่มปรากฏในกลุ่มรายได้ระดับกลางถึงสูงด้วยเช่นกัน
คนที่เคยคิดว่า ‘รายได้เราน่าจะพอ’ เริ่มรู้สึกว่า เงินเดือนชนเงินเดือนมากขึ้นและพื้นที่สำหรับการออมหรือรับมือเหตุฉุกเฉินเริ่มแคบลงเรื่อยๆ
[ บางครั้งหนี้ที่ไม่ได้เพิ่มเพราะฟุ่มเฟือย ]
ในบริบทแบบนี้ ‘หนี้’ ไม่ได้เกิดจากการใช้ชีวิตหรูหราเสมอไป แต่หลายครั้งคือเครื่องมือประคองชีวิตในช่วงที่รายได้ไม่แน่นอน ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยมีภาระหนี้ต่อรายได้ในระดับสูงบางกลุ่มต้องนำรายได้มากกว่า 60% ไปใช้จ่ายกับการผ่อนหนี้ในแต่ละเดือน
ความรู้สึกว่า ‘ผ่อนไม่ไหว’ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวแม้แต่ในกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อเดือนก็ยังมีสัดส่วนไม่น้อยที่เริ่มกังวลกับภาระหนี้ของตัวเอง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ความเสี่ยงเรื่องหนี้ไม่ได้กระจุกอยู่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่เริ่มกระจายไปยังคนวัยทำงานตอนต้น คนที่เพิ่งสร้างครอบครัว หรือคนที่มีหนี้หลายประเภทซ้อนกัน ทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อดิจิทัล
[ BNPL ความสบายใจระยะสั้น ]
BNPL เข้ามาในช่วงเวลาที่ ‘คนต้องการทางเลือก’ และในเชิงการเข้าถึง BNPL ตอบโจทย์อย่างมาก ไม่ต้องยื่นเอกสารซับซ้อน ไม่ต้องรออนุมัตินาน บางครั้งแค่มีประวัติการใช้งาน ก็สามารถเริ่มผ่อนได้ทันที
ผลสำรวจชี้ว่า ผู้ใช้ BNPL และสินเชื่อผ่านแอปมือถือมีสัดส่วนสูงกว่าผู้ใช้บัตรกดเงินสดเสียอีก โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่มักเป็นคนอายุน้อย รายได้ยังไม่สูง และมีภาระหนี้หลายทางอยู่แล้ว
สิ่งที่น่าคิดคือ ผู้ใช้ BNPL จำนวนมากยอมรับตรงกันว่าการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น ทำให้ตัดสินใจใช้จ่ายง่ายขึ้นเช่นกันของบางชิ้นอาจไม่ได้จำเป็นในทันที
แต่เมื่อถูกแบ่งเป็นงวดเล็กๆ ความรู้สึก ‘จ่ายไหว’ ก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันคิดถึงภาพรวมของหนี้ทั้งหมด และเมื่อ BNPL กลายเป็นเพียง ‘หนึ่งในหลายงวด’ ความเสี่ยงที่หนี้จะทับซ้อนกันก็เพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ
[ ความกังวลสะท้อนผ่านพฤติกรรมใช้เงิน ]
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนผู้บริโภคจำนวนมากเลือกที่จะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นหลายคนเลื่อนแผนซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือของชิ้นใหญ่เพราะไม่มั่นใจทั้งเรื่องรายได้ ดอกเบี้ย และภาระหนี้ในอนาคต
แม้แต่ผู้ที่ยังมีแผนซื้อ ก็ยังมองว่า ความสามารถในการซื้อเป็นอุปสรรคสำคัญเพราะราคาสินทรัพย์ยังสูงเมื่อเทียบกับรายได้จริงในอีกด้านหนึ่ง ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับการออมและการเตรียมเงินสำรองมากขึ้นเพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต
[ ทางออกของเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่หยุดผ่อน ]
BNPL ไม่ใช่ปัญหาในตัวมันเองแต่ปัญหาอยู่ที่จังหวะและบริบทของการใช้งานการแก้ไขสถานการณ์นี้จึงต้องเดินควบคู่กันทั้งการจัดการหนี้เดิมและการป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ใหม่เกินความจำเป็น
ภาครัฐ สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการต้องร่วมกันออกแบบระบบสินเชื่อที่ไม่ผลักภาระไปให้ผู้บริโภคฝ่ายเดียว ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคเองก็ต้องกลับมามองภาพรวมการเงินของตัวเองให้ชัดขึ้น รู้ว่าภาระหนี้อยู่ตรงไหน และขอบเขตการผ่อนของเราจริงๆ คือเท่าไร
สุดท้ายแล้ว ซื้อก่อนไม่ได้ผิดแต่การจ่ายไม่ไหว คือจุดที่ชีวิตเริ่มสะดุด BNPL อาจเป็นผู้ช่วยในวันที่จำเป็น แต่ก็อาจกลายเป็นภาระในวันที่รายได้ยังไม่มั่นคง ก่อนจะกดปุ่มยืนยันการผ่อนครั้งต่อไปบางทีคำถามที่ควรถามไม่ใช่แค่ว่า ‘ผ่อนได้ไหม’
แต่คือถ้าไม่มีตัวเลือกผ่อน เราจะยังเลือกซื้อสิ่งนี้อยู่หรือเปล่าเพราะสุดท้ายแล้ว ความสบายในวันนี้ ควรไม่แลกกับความหนักใจในวันข้างหน้า










